Release Date
03/12/2020
แนว
ตลก , ดราม่า
ความยาว
1.37 ชม. (97 นาที)
เรตผู้ชม
R (15+)
ผู้กำกับ
Michael Angelo Covino
Our score
9.5The Climb
จุดเด่น
- เป็นหนังที่จังหวะดีมาก ๆ ทั้งการเล่าเรื่อง ตัดต่อ และมุกตลก
- นักแสดงเพื่อนซี้เล่นได้เข้าขากันมาก ๆ อย่างกับเรื่องจริงเลย
- มุกตลกร้ายหน้าตายในเรื่องกวนเบื้องล่างดีจริง ๆ
จุดสังเกต
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
9.2
-
คุณภาพงานสร้าง
9.3
-
คุณภาพของบท / เนื้อเรื่อง
9.0
-
การตัดต่อ / การลำดับ และการดำเนินเรื่อง
10.0
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
10.0
เรื่องย่อ ไคล์ (Kyle Marvin) กับไมค์ (Michael Angelo Covino) เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่แล้วไมค์ก็ดันเผลอไปนอนกับคู่หมั้นของไคล์ ทั้งสองคนต้องกลับมาถามตัวเองว่า ยังควรเป็นเพื่อนกันอยู่ไหม The Climb ว่าด้วยการรักษาไว้ซึ่งมิตรภาพที่ต้องอาศัยความอดทนอย่างสูง ผ่านความสัมพันธ์ของชายสองคน ที่ผ่านร้อนหนาว ทุกข์สุข หัวเราะร้องไห้ด้วยกันมาเป็นเวลาหลายปี
ต้องบอกก่อนอย่างหนึ่งครับว่า ภาพยนตร์ Exclusive ที่ฉายเฉพาะโรงภาพยนตร์ HOUSE Samyan ในโครงการ SONY@House (โดยความร่วมมือกับโซนี่ พิคเจอร์ส ประเทศไทย) เรื่องนี้คือหนังตลกนะครับ แม้ว่าหน้าหนังเองจะชวนให้ดูไม่ออกว่ามันเป็นหนังตลก และแถมยังไม่มีนักแสดงหรือมีอะไรที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดเลยแม้แต่น้อย
แต่จะบอกเลยครับว่า นี่คือหนังที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งครับ นอกจากหนังเรื่องนี้จะเป็นภาพยนตร์ตลกที่นาน ๆ ทีจะได้รับเสียงวิจารณ์อย่างท่วมท้นแล้ว หนังเรื่องนี้มีดีกรีได้เข้าประกวดในสาย Un certain regard ของเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2019 มาแล้วด้วยอีกต่างหาก แต่ที่น่าสนใจที่สุดที่ทำให้หนังเรื่ีองนี้น่าสนใจมาก ๆ ก็คือ นี่คือหนังที่ว่าด้วยเรื่องของเพื่อนซี้ ที่ทำโดย “เพื่อนซี้” เพื่อ “เพื่อนซี้” โดยแท้เลยครับ
นี่คือหนังที่สองเพื่อนซี้ Michael Angelo Covino และ Kyle Marvin ที่เป็นเพื่อนกันมากว่า 10 ปี พวกเขามีความฝันว่าอยากจะทำหนังสักเรื่องเพื่อเป็นหลักฐานแห่งความเป็นเพื่อนของทั้งคู่ ในที่สุดทั้งสองคนก็เก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มต้นจับมือร่วมกันเขียนบท และไมเคิล หรือไมค์ รับหน้าที่เป็นผู้กำกับ และไหน ๆ เขียนบทเองแล้ว ทั้งคู่ก็เลยลงมาเป็นนักแสดงเองเลย แถมยังใช้ชื่อเล่นจริง ๆ ในหนังอีกต่างหาก !
แล้วที่แสบสันกันตั้งแต่เปิดเรื่ององก์แรกก็คือ หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องราวของเพื่อนซี้ก็จริง แต่เนื้อหาดันทะลึ่งว่าด้วยเรื่องของไคล์ที่มีคู่หมั้นแล้ว และกำลังจะแต่งงาน แต่อีตาไมค์ดันโพล่งในขณะที่ทั้งคู่กำลังขี่จักรยานขึ้นเขาที่ฝรั่งเศสว่า “เราอ่ะ เคยนอนกับคู่หมั้นของแกมาแล้วนะเว้ย…” พอเปิดประเด็นแบบนี้ ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่น คงต้องมีจอดจักรยาน แล้วต่อยกันแบบไฟลุก ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบแน่นอน
แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ครับ เพราะแม้เรื่องนี้จะว่าด้วยเรื่องพัง ๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่สั่นคลอน และชีวิตที่เริ่มจะสวนทางกัน ในขณะที่ไคล์กำลังจะแต่งงานและมีชีวิตที่ดีขึ้น กลับเป็นช่วงชีวิตของไมค์ที่กำลังฉิบหายวายป่วงพอดี ซึ่งแทนที่จะโกรธกัน แล้วก็แตกคอกันไปตามสูตร แต่ทั้งสองคนก็ยังคงวนเวียนกลับมาเจอกันอยู่เรื่อย ๆ ราวกับว่าลืมไปแล้วว่าเคยทะเลาะกัน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ในแต่ละองก์ของหนัง กลับถูกขับเคลื่อนด้วยมุกตลกหน้าตายที่สอดแทรกเข้ามาอย่างถูกจังหวะมาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความอึดอัดชวนให้ระเบิดลงอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นหนังตลกร้ายที่ทั้งฮา ทั้งอึ้ง ดูไปก็ร้องว่า What The…… ไปตลอดทั้งเรื่อง นอกจากนี้แล้ว จังหวะการเล่าเรื่องของหนังก็ลงตัวดีมาก ๆ และด้วยความที่เพื่อนซี้ลงทุนเขียนบทและแสดงเองทั้งที ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความลงตัวและเป็นธรรมชาติที่เข้าขากันมาก ๆ
อีกจุดที่น่าสนใจก็คือวิธีการเล่าเรื่องครับ อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า ตัวหนังเรื่องนี้ถูกแบ่งเป็นองก์ต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละองก์ ตัวหนังใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบ Long Take ด้วยนะครับ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเทกนิกหนังที่เราคุ้นเคยกันมาแล้วแหละ แต่ไม่น่าเชื่อว่า พอเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ในเรื่องที่ส่วนหนึ่งก็ขับเคลื่อนด้วยบทสนทนา การถ่ายแบบลองเทก และการเคลื่อนกล้องก็ทำให้เหตุการณ์และบทสนทนาในแต่ละองก์น่าสนใจมาก ๆ ทำให้เราได้มองเห็นมวลของอารมณ์และความรู้สึกอึดอัดหม่นมัวที่เกิดขึ้นในแต่ละองก์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และพร้อมที่จะระเบิดเซอร์ไพรส์ด้วยมุกตลก (ที่แต่ละมุกนี่กวนเบื้องล่างเหลือเกิน) อยู่ตลอดเวลา
เอาจริง ๆ แล้ว แม้ไมค์จะดูเป็นเพื่อนที่เฮงซวย และงี่เง่าที่สุดที่ตัดสินใจ “ตีท้ายครัวเพื่อน” แต่ลองคิดดี ๆ บางทีก็เหมือนมิตรภาพหรือความสัมพันธ์จริง ๆ ที่เรามักพบเจอกันเป็นปกตินั่นแหละครับ เราอาจจะคิดว่า ที่เพื่อนเราทำแบบนี้มันช่างเฮงซวยซะจริง ๆ ทำไมเพื่อนเราถึงโคตรงี่เง่าเต่าถุยได้ขนาดนี้
แต่ถ้าเราลองถอยออกมามองก้าวหนึ่ง เราจะพบว่า บางทีไม่ใช่แค่ (อดีต) เพื่อนรักที่เฮงซวย จริง ๆ แล้ว ไคล์และภรรยาเองก็มีความเฮงซวยไม่แพ้กันนั่นแหละ พอถึงจุดหนึ่ง หากมีสติมากพอบางทีเราอาจจะรักตัวเองที่ยอมรับว่าตัวเราเองก็โคตรเฮงซวย และเราเองก็อาจจะรักเพื่อนคนนั้นมาก ๆ ในฐานะเพื่อนเฮงซวยที่สามารถยอมรับได้ในความเฮงซวยของเรานั่นเอง
ไม่ว่าคุณจะมาดูหนังเรื่องนี้คนเดียว หรือมาดูหนังเรื่องนี้กับเพื่อนซี้ แต่ผมเชื่อเลยครับว่า หนังฟีลกู้ดตลกหน้าตายสุดขันขื่นเรื่องนี้ จะทำให้มุมมองความเป็นเพื่อน และมุมมองของเราเองที่มีต่อเพื่อนเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน อย่างน้อย ๆ ถ้าดูจบแล้ว ผมเชื่อว่าเราจะได้มองเห็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนซี้ ที่ไม่ได้มีแค่รักกันแบบซี้ย้ำปึ้ก หรือเลิกคบกันเพราะทำเรื่องเฮงซวยใส่กันเหมือนอย่างที่เราคุ้นเคยแต่เพียงอย่างเดียว แต่บางที เพื่อนซี้บางทีก็อาจจะเป็นการยอมรับและเข้าใจในระหว่างกันว่า เราทุกคนต่างก็เคยมี และต่างก็เคยเป็น “เพื่อนรักแสนเฮงซวย” กันทั้งนั้นแหละ
ก็ถ้าไม่ต่อยกันจนตายไปซะก่อนนะครับ