ในวันนี้ตำแหน่งภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลกตลอดกาลยังเป็นของ Avengers: Endgame หนังรวมเหล่าซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลภาคล่าสุด ผลงานของผู้กำกับพี่น้อง โจ-แอนโธนี รุสโซ การที่ Avengers: Endgame ยังสามารถสร้างสถิติใหม่ให้กับโลกภาพยนตร์ได้นับเป็นความยินดีของวงการภาพยนตร์อย่างมาก เหมือนเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าในวันที่ธุรกิจสตรีมมิงกำลังลุกคืบเข้ามาเรื่อย ๆ ผู้คนก็ยังยินดีออกมาจากบ้านมาซื้อตั๋วดูหนังในโรงกันอยู่
เร็ว ๆ นี้ โจ รุสโซ ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ ComicBook.com โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ในฐานะที่เขาคือผู้กำกับของหนังที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลก เขาเองก็ยังมองว่าสตรีมมิงเป็นทางเลือกที่สะดวกสบายจนปฏิเสธไม่ได้สำหรับคอหนัง
“ผมมองว่าโลกเรามาถึงยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงและเป็นการเปลี่ยนระดับความเร็วแสงเลยก็ว่าได้ แล้วยิ่งเจอเรื่องไวรัสระบาดก็ยิ่งเป็นตัวเร่งอีกด้วย แล้วผมมองว่ามันเป็นการเปลี่ยนไปสู่กระบวนการที่ดีกว่าในการจัดจำหน่ายหนังในรูปแบบดิจิทัลไม่ว่าจะดูที่บ้านหรือในโรงหนัง ผมว่ายิ่งผ่านไปภาพมันยิ่งชัดเจนเรื่อย ๆ ว่าทิศทางมันจะไปทางไหน แล้วการกระจายหนังออกไปในระดับภูมิภาคหรือไปในหลาย ๆ ประเทศนั้น การส่งต่อข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลมันได้เปรียบกว่ามาก ทั้งในเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่าย ผู้คนสมัครสมาชิกแล้วแชร์แอ็กเคานต์ดูด้วยกันได้อีก แล้วคุณมองสิว่าคนดูได้อะไรบ้าง เขาสามารถดูหนังทางสตรีมมิง 10 เรื่อง ในราคาเทียบเท่ากับการดูหนังในโรงได้แค่เรื่องเดียว คุณรู้ใช่มั้ยว่าไม่ใช่ทุกผู้ทุกคนจะมีตังค์พอไปดูหนังในโรงได้บ่อย ๆ”
อ้างอิงถึงใจความที่โจ รุสโซ เอ่ยถึงราคาของตั๋วหนัง จุดนี้ก็เป็นประเด็นที่หลายคนชี้นิ้วมาว่าเป็นสาเหตุหลักให้คนดูหนังทั่วโลกลดน้อยลง คอหนังก็เริ่มออกมาบ่นว่าพวกเขาออกมาดูหนังแต่ละครั้งนี่ต้องแบกค่าใช้จ่ายมากมาย ทั้งค่าเดินทาง ค่าขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม ทำให้พวกเขาต้องใคร่ครวญมากกว่าแต่ก่อนกับการที่จะออกมาดูหนังในโรงสักเรื่อง ที่แน่ ๆ ก็จะต้องเป็นหนังในระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง Avengers แบบนี้ล่ะ ที่คนดูยังสมัครใจยอมจ่ายภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจซบเซาเช่นนี้
ด้วยสาเหตุนี้เช่นกันที่เจ้าของโรงหนังถึงไม่ค่อยแบ่งรอบและโรงฉายกับบรรดาหนังทุนต่ำสักเท่าใดนัก ทางสตูดิโอผู้สร้างก็เลยไม่ค่อยอนุมัติให้สร้างหนังทุนต่ำเหล่านี้เพราะมองแล้วว่าสร้างมาก็ขายยาก ไม่มีโรงหนังอยากฉาย โจ รุสโซ ก็เลยมองว่าการสร้างหนังแล้วปล่อยฉายผ่านช่องสตรีมมิงนี่ล่ะที่เป็นการแก้ไขปัญหาในจุดนี้ได้ตรงเป้า
“ช่องทางสตรีมมิงนั้นมีกลุ่มผู้ชมที่กว้างขึ้น แล้วไม่ต้องมีเงื่อนไขแบบว่า สร้างมาแล้วหนังจะทำรายรับสุดสัปดาห์ได้เท่าไหร่มาเป็นเกณฑ์ตัดสิน ซึ่งที่ผ่านมาผมก็มองว่ามันไม่ถูกต้องนักหรอก ไม่ใช่ว่าหนังทุกเรื่องจะถูกสร้างมาเพื่อทำรายได้ถล่มทลายในช่วงสุดสัปดาห์ แต่ที่ผ่านมามันก็ช่างเป็นเรื่องน่าปวดใจนะ เพราะบรรดาสื่อก็ใช้หลักเกณฑ์นี้ในการตัดสินคุณค่าของหนัง ซึ่งบางทีมันก็ใช่วิธีการที่ดีนักหรอก”
ที่ผ่านมาเราก็ค่อย ๆ เห็นการเจริญเติบโตของธุรกิจสตรีมมิงที่เริ่มกินส่วนแบ่งจากธุรกิจภาพยนตร์ทีละเล็กทีละน้อย จนมาถึงปี 2020 นี่ล่ะ ที่เห็นได้ชัดว่าสตรีมมิงได้ยกระดับสถานะตัวเองมาเป็นเป็นช่องทางหลักในการรับชมภาพยนตร์ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนังเล็กหรือหนังใหญ่ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานี่ชัดเจนที่สุด และอีกก้าวใหญ่ที่มาตอกย้ำก็คือการที่วอร์เนอร์ตัดสินใจเปิดตัวหนัง Wonder Woman 1984 ผ่านทาง HBO MAX และโรงภาพยนตร์พร้อมกัน
“ผมมองว่า Wonder Woman 1984 คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยว่าอนาคตของธุรกิจหนังจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็ยังมองนะว่าวิธีนี้ยังเป็นหนทางที่ช่วยเร่งพลังให้กันและกัน สำหรับใครที่ยังอยากดูเรื่องนี้ในโรงก็ออกไปดูได้ หรือใครที่มีเหตุผลอื่นไม่ว่าจะด้วยเงินในกระเป๋าหรือยังกังวลเรื่องสุขภาพอนามัยอยู่ก็สามารถนอนดูที่บ้านได้”
โจ รุสโซ วิเคราะห์ทิ้งท้าย