บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์ แบบจริงๆ ก็พยายามเลี่ยงๆจุดสำคัญๆ มากๆ อย่างไคลแม็กไว้ล่ะนะครับ แต่ก็เผื่อพลาด ใครยังไม่อยากรู้อะไรเลยเกี่ยวกับตัวหนัง ก็ค่อยมาอ่านหลังจากดูแล้วนะ (อ่านรีวิวฉบับก่อนชมภาพยนตร์)
เมื่อเช้าเปิดดูไทม์ฮอปถึงกับผงะนี่มันผ่านภาคแรกมา 22 ปีแล้วเหรอเนี่ย ภาพควมทรงจำในหนังฉบับปี 1993 ยังคมชัดอยู่เลย จะว่าไปพอภาพความทรงจำมันชัดการดู Jurassic World เลยยิ่งตอกย้ำว่าน่าจะเป็นการกลับมาของแฟรนไชส์สุดยิ่งใหญ่ที่เล่นเพลย์เซฟเอาหนักๆทีเดียว
Jurassic World นับเป็นภาคที่ 4 ของหนังชุดนี้ ว่ากันตามตรงหลังจากภาคแรกหนังก็แป้กลงตามลำดับ จนกลายเป็นอีกโปรเจคที่คนทั้งรอคอยและลุ้นในคุณภาพกันจนโปรเจคล่มไปหลายรอบ เพราะแรงกดดันจากแฟนภาคแรกนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ หลังจากล้มลุกคลุกคลานมานาน หนังก็ได้รับความเห็นชอบด้านบทจากสตีเว่น สปีลเบิร์กให้เดินหน้าได้
(ถ้าสปีลเบิร์กจะเลียนแบบเจมส์ คาเมรอนในกรณีคนเหล็กเจเนซิส ก็คงบอกว่า นี่นับเป็นภาค 3 จริงๆของสวนไดโนเสาร์เลยนะ 555)
หนังได้ Colin Trevorrow มากำกับ ซึ่งก็…ไม่มีผลงานเด่นอะไรมาก่อน ร่วมด้วย Chris Pratt สตาร์ลอร์ดในบทอดีตนาวิกผู้ฝึกหมู่เคลื่อนที่เร็วแร๊พเตอร์ ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่สุดในหนังละ คือถ้าเทียบกันแบบตัวละครต่อตัวละคร ก็บอกได้เลยว่าแทบจะใช้กระดาษลอกลายจากภาคแรกมาทีเดียว
- ทั้งคริสที่เทียบได้กับ ดร.อลัน แกรนท์ (แซม นีล)
- แคลร์ผู้จัดการสวนสัตว์ที่เทียบได้กับ ดร.เอลลี่ แซทเลอร์ คู่หวานคู่กัดกับพระเอก
- มาซรานี่ ที่เป็นคาร์แรกเตอร์ผสมระหว่างเศรษฐีเจ้าของสวนอย่างจอห์น แฮมมอนด์ และหน้าตาบุคลิกแบบ ดร.ไอแอน มัลคอล์ม (ไอร์ฟาน ข่าน กับ เจฟ โกล์ดบลัม นี่แทบจะนึกว่าคนเดียวกันแบบผิวแทนขึ้น)
- เด็กชายหญิงสองคนก็เปลี่ยนเป็นพี่น้องชายคู่ อะไรประมาณนี้
- บรรดาไดโนเสาร์หน้าเดิมๆ มีเพิ่มเติมไม่กี่ตัว (ชอบเจ้าตัวจระเข้ยักษ์ ทำไมไม่ทำ Jurassic Ocean ไปเลยนะ หนังน่าจะมีอะไรใหม่ๆ สนุกๆ กว่า)
เนื้อเรื่องว่าด้วยเกาะไดโนเสาร์ที่เปิดใหม่ใหญ่กว่าเดิมโดยผู้บริหารชุดใหม่ แต่ครั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจ ก็เลยมีการทดลองตัดต่อพันธุ์กรรมสร้างมังกร เอ๊ยไดโนเสาร์สุดเทพ (บางจังหวะนึกว่าดูดราก้อนฮาร์ท) ที่ทั้งฉลาดใหญ่ยักษ์เจ้าเล่ห์แถมพรางตัวเก่งออกมาเรียกแขก ซึ่งวูบหนึ่งก็คิดว่าไอ้นี้มันก็อตซิลล่านี่หว่า (ยิ่งตอนทีมไล่ล่าทีมแรกที่หน้าเอเชียล้วนแถมหัวหน้าชุดชื่อฮามาดะด้วยนี่ เสียงก๊าซซซซดังแว่วมาเชียว 555) แล้วก็ตามสูตร มันต้องหลุดออกมาจากกรงขังจนได้
คงต้องยอมรับว่าทีมเขียนบททั้ง 5 ชีวิตทำการบ้านมาหนักทีเดียวที่จะดึงมนต์เสน่ห์ในภาคแรกกลับมา อย่างพวกตัวละครที่ได้กลิ่นอายคุ้นเคยอย่างที่บอก
- ชื่อจอห์น แฮมมอนด์ผู้ก่อตั้งที่มีชื่อเป็นเกียรติอยู่ตลอดเรื่อง
- เขตสวนในภาคแรกที่ถูกทิ้งร้างในโซนห้ามเข้า
- รวมถึงร่องรอยของใช้ต่างๆอย่างรถในภาคแรก
- โครงกระดูกโชว์อันใหญ่ที่พังลงมาพร้อมป้ายผ้าในฉากจบภาคแรกเป็นต้นด้วย
นี่ยังไม่นับไลน์การเดินเรื่องที่มีฉากคล้ายๆกันอีกบาน อย่างฉากลูบไดโนเสาร์บาดเจ็บ ฉากถือพลุไฟฉุกเฉินล่อไดโนเสาร์ ฉากตาไดโนเสาร์มองผ่านกระจกเข้ามา โอยอีกบาน
ซึ่งมากเสียจนบางทีก็คิดว่าเขาอาจจะอยากรีเมคภาคแรกมากกว่าหรือเปล่า
ด้านงานซีจีก็ดูเพลินดูเนียนตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งบางฉากก็ดูเหมือนเทคโนโลยีเมื่อ22ปีก่อน บางฉากก็ชวนให้รู้สึกคะนึงถึงพวกเทคนิคทำหุ่นไดโนเสาร์ที่หลังๆโดนแทนด้วยซีจีไปหมดแล้วด้วย
ถ้าเป้าหมายงานเทคนิคพิเศษคือทำให้ชวนคิดถึงหนังภาคแรกผมว่าทำได้ดีเลยล่ะ แต่ถ้ากะเอาให้ผู้ชมสัมผัสมนต์มายาโลกภาพยนตร์ตะลึงพรึงเพริดเหมือนตอนได้ดูภาคแรก นับว่าซีจีอยู่แค่ระดับมาตรฐานหนังบล็อกบัสเตอร์ทั่วไป ก็ไม่รู้ว่าวงการซีจีมาถึงทางตันของความสมจริงแล้วหรือเปล่า แต่ก็ดูออกชัดนะ ยิ่งฉากนั่งรถผ่านทุ่งหญ้านี่โคตรชัด เงาไดโนเสาร์งี้ลอยเป็นผีเลย
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เชื่อว่า ผู้สร้างเพลย์เซฟงานกับแฟนเก่าๆ และอยากดึงแฟนใหม่ๆด้วยมนต์เสน่ห์เดิมๆที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ซึ่งหนังมันก็สนุกและมีมนต์เสน่ห์พวกนั้นอยู่สำเร็จจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงจุดฟินาเล่
ที่ควรปรับปรุงอย่างยิ่ง ไม่ใช่การลอกลาย หรือการคารวะเพลย์เซฟความคาดหวังแฟนๆจนเกินงาม หากแต่เป็นการหาเหตุผลดีๆมาใส่ในหนังให้ไม่ยัดเยียดภาพแอ็กชั่นที่อยากโชว์จนเกินไป
เช่นว่า
- ทำไมพระเอกยอมใช้แร๊พเตอร์ง่ายๆล่ะ ทั้งที่เอาปืนกลอาวุธหนักหรือวางกลยุทธดีๆก็น่าจะปราบเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ได้ผลง่ายๆกว่า(สังเกตจากการใช้ฮอก่อนหน้าที่มันเกือบสำเร็จแล้ว แค่พลาดเพราะฮิวแมนเออร์เรอร์)
- ทำไมพวกนกไดโนเสาร์ถึงบินตรงไปหาฝูงคนที่อยู่ไกลเป็นไมล์ๆได้เป๊ะยังกับมีเรดาร์ล่ะ
- ทำไมเจ้าจระเข้ยักษ์ถึงรู้ตำแหน่งเขมือบเหยื่อที่อยู่ริมฝั่งได้ล่ะ ทั้งๆที่น่าจะจัดแค่เหยื่อที่ผิวน้ำ (งี้ไอ้วิทยากรกับเหล่าคนดูตอนต้นเรื่องนี่ไม่น่ารอดเหมือนกันนะ)
- ไดโนเสาร์ขาดสังคมไหงเจอแร๊พเตอร์ปั๊บจ้อกันเป็นเนื้อคู่แต่ชาติปางก่อนเสียอย่างนั้น ก่อนหน้านี้ขนาดน้องตัวเองมันยังเขมือบไปเลยไม่ใช่เหรอ (ที่สำคัญไดโนเสาร์มันสื่อสารกันรู้เรื่องเหมือนคนพูดคุยกันจริงเหรอ?)
- ไอ้ตัวร้ายนี่คิดว่าแร๊พเตอร์มันเจ่งอะไรนักหนาขนาดนั้นเลยเหรอ จังหวะนั้นมันควรจะเชิดชูเจ้าอินดอมากกว่าดิ เอาตามจริงถ้าฝึกแร๊พเตอร์ไปเป็นสุนัขทหาร เจอยุทธวิธีรบกับอาวุธสงครามหนักก็ไม่ได้เจ๋งไรเลยนะ
และทำไมอีกหลายทำไม ที่แกล้งๆลืมๆ จะได้ดูหนังได้เพลินๆไป
เอาจริงๆ ตั้งแต่พอได้ยินพล็อตเรื่องไดโนเสาร์จีเอ็มโอก็เริ่มส่ายหน้าทายว่าหนังแป้กชัวร์ เพราะอย่างที่ตัวละครหนึ่งบอกในหนังว่า แค่เพราะมันเป็นไดโนเสาร์ก็น่ากลัวพอแล้วไม่เห็นต้องดัดแปลงอะไรอีก
อีกอย่างเอาพล็อตเรื่องที่มันสืบพันธุ์ได้ทั้งๆ ที่มีแต่เพศเมียในภาคสอง มาขยายเป็นการวิวัฒนาการตามธรรมชาติได้สัตว์พันธุ์ใหม่เอง แล้วผู้บริหารต้องกันพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจที่อาจมีพันธุ์ใหม่ๆ ไว้ ส่งคณะวิจัยเข้าไปสำรวจแล้วมีคนตาย ยังดูจะน่าเชื่อกว่าและดูเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆกว่าด้วย เพราะแค่ตามธรรมชาติก็มีพลังอัศจรรย์มากมายเกินจินตนาการพอแล้ว
แต่ก็นั่นล่ะพอดูๆ ไปก็ อ๋อ เพราะหนังต้องการเล่นประเด็นเรื่องการทหารนี่เอง แล้วแทนที่จะรู้สึกดีขึ้น ผมก็ประหวั่นไปถึงหนังซอมบี้ที่กลายพันธุ์เป็นอะไรไปไม่รู้อย่างเรสซิเด้นท์อีวิลขึ้นมาตะหงิดๆ ไม่รู้ว่าถ้ามีภาคต่อหนังจะหลุดไปไกลขนาดไหน อาจได้เห็นจูราสสิคภาค6ชื่อ ไรซ์ออฟเดอะพลาเน็ตออฟเดอะไดโนซอร์ก็เป็นได้ 555
พอๆ สรุป
หนังดูสนุกทุกเพศทุกวัย แบบที่เราคาดหวังจากหนังช่วงซัมเมอร์ได้เลยล่ะ ถึงจะไม่ใช่งานมาสเตอร์พีซ ไม่เทียบเคียงได้กับภาคแรกเลยก็ตาม แต่ก็พยายามได้ดีแล้ว และก็ทำได้ดีพอประมาณ แม้ยังห่างไกลจากความคาดหวังแฟนเก่าๆ
ด้านแฟนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยดูน่าจะรู้สึกดีกว่าแฟนที่ยังจำภาพภาคแรกได้ ส่วนใครชอบสังเกตอีสเตอร์เอ้กจากหนังภาคเก่าๆก็ลองไปมองหาดูมีให้ชวนคิดถึงหลายอย่างทีเดียว
มีฉากตลกเรื่อยๆ ความน่าตื่นเต้นทำได้ดีกราฟพุ่งขึ้นตลอด โชว์ของได้เจ๋งดีอย่างการต่อสู้กันของไดโนเสาร์ที่รู้ว่าวางภาพว่าจะต้องให้เจ้านี่ฟัดเจ้านี่มาก่อนวางเนื้อเรื่อง เลยมีปัญหาเรื่องความสมเหตุสมผลไปบ้าง แต่จะว่าไปสาวกจะนับภาคนี้เป็นภาคต่อที่แท้จริงของซีรีย์นี้ก็คงได้ล่ะนะ