Release Date
10/12/2020
Office Uprising ออฟฟิศป่วน ซอมบี้คลั่ง/ค่ายหนัง : Mongkol Major/ ความยาว 89 นาที
นักแสดง: เบรนตัน เทวตส์ เจน เลวี่ คาราน โซนี / ผู้กำกับ: ลิน โอดิง
Our score
5.5[รีวิว] Office Uprising ออฟฟิศป่วน ซอมบี้คลั่ง – อยากแซะแต่ทำได้แค่แซว
จุดเด่น
- หนังมีไอเดียดีที่เอาความอัดอั้นในออฟฟิศมาทำเป็นมุก
- หนังมีมุกฮา ๆ ที่มาจากการแซวชีวิตหนุ่มสาวออฟฟิศได้หลายฮา อยู่
จุดสังเกต
- ตัวบทยังขยี้เรื่องอัดอั้นในที่ทำงานไม่พอ
- คาแรกเตอร์ไม่ดึงดูดทั้งที่หนังมีไอเดียที่น่าสนใจ
- งบน้อยคุณภาพงานสร้างเลยด้อยไปอย่างน่าเสียดาย
-
ความลงตัวของบทภาพยนตร์
6.0
-
คุณภาพงานสร้าง
5.5
-
คุณภาพนักแสดง
5.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
5.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
5.3
ปี 2020 หนังซอมบี้ยังคงได้รับความนิยมและพิสูจน์แล้วว่ามัน “ขายได้” เสมอจากยอดขายตั๋วของ Peninsula ภาคต่อของ Train to Busan ที่แม้คุณภาพในการเล่าเรื่องจะเทียบกันไม่ติดแต่ด้วยพลังของซอมบี้เกาหลีที่สร้างตลาดให้ตนเองอย่างแข็๋งแกร่งมันก็สามารถทะลุกำแพงวัฒนธรรมไปโด่งดังถึงอเมริกาที่เป็นต้นกำเนิดหนังซอมบี้ที่เรารู้จักกันดีจนได้
และแน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่เอเซียเท่านั้นที่เกิดกระแสซอมบี้ฟีเวอร์แม้แต่อเมริกาเองก็มีการพัฒนาการหนังซอมบี้ของตนให้มีความแปลกใหม่หนีจากมุกจำเจที่ผลิตซ้ำกันเป็นร้อยเรื่องไปสู่แนวทางใหม่ ๆ รวมถึงการใช้ซอมบี้เพื่อวิพากษ์สังคมซึ่งถือเป็นอัตลักษณ์ของหนังซอมบี้ที่จอร์จ เอ โรเมโร่ปูพื้นฐานเอาไว้อยู่แล้วรวมถึงหนังอย่าง Office Uprising ที่เรากำลังพูดถึงนี้ด้วย
หลังจากผู้บริหารนำเครื่องดื่มชูกำลังมาแจกพนักงานจนเกิดอาการคลั่งไล่ฆ่ากันเอง เดสมอนด์ (เบรนตัน เทวตส์) พนักงานจอมขี้เกียจแห่งบริษัทผลิตอาวุธชั้นนำต้องหาทางเอาชีวิตรอดและไปช่วยเหลือ ซาแมนธา (เจน เลวาย) สาวที่เขาแอบชอบที่ดันดื่มเครื่องดื่มที่ว่าไปจนทำให้เขาต้องหายาถอนพิษให้เธอ แต่งานนี้ก็ไม่ง่ายเพราะในขณะที่พนักงานทั้งตึกคลั่งแล้วเขากลับเจอหัวหน้าแผนกบัญชีอย่าง อดัม นัสบาม (แซคคารี เลวี) ที่อาจไม่ได้หยุดแค่การยึดครองบริษัทเท่านั้น เดสมอนด์ต้องสู้ทั้งคนคลั่งและตึกที่ปิดตายเพื่อช่วยให้เขากับซาแมนธารวมถึง มูราด (คาราน โซนิ) พนักงานลูกครึ่งอาหรับมีชีวิตรอดจากออฟฟิศสุดคลั่งที่ทำเอางานหนักกลายเป๋็นขนมหวานไปเลย
หากจะเทียบ Office Uprising ใน Genre ของหนังซอมบี้สยองขวัญอาจมองไม่เห็นภาพและเหมือนจับนางงามมาประกวดผิดเวทีไปหน่อย เพราะงั้นการนำหนังอย่าง Shaun of the dead หรือ Little Monsters มาเทียบน่าจะเห็นคู่เปรียบได้ชัดเจนและยิ่งปรับโฟกัสเราก็จะพบจุดอ่อนของหนังและแผลเป็นเต็มไปหมด ในขณะที่อารมณ์ขันจากการแขวะชีวิตหนุ่มสาวออฟฟิศคือท่าไม้ตายแต่ลีลาการเล่าเรื่องหรือแต้มต่อในการสร้างความสนุกยังตามคู่เปรียบอยู่หลายขุม
เริ่มแรกเรามามองที่บิ๊กไอเดียก่อนที่หนังเอามาขยายผลและสวมใส่อาภรณ์เปื้อนเลือดของหนังซอมบี้ Office Uprising ได้จับความอัดอั้นตันใจของหนุ่มสาวออฟฟิศทั้งงานหนัก กฎบริษัทยิบย่อยและอนาคตที่ไม่แน่นอนมาเป็นไอเดียตั้งตนและปั้นมุกฮาแบบตบเข่าฉาดสำหรับผู้เคยมีประสบการณ์ร่วมอย่างพวกเราได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะไม่ว่าใครต่างก็เคยเจอความอึดอัดแทบบ้าจากที่ทำงานกันทั้งนั้น
เพียงแต่ของจริงไม่ได้ฮาเหมือนในหนังแถมมันถูกขยายผลจนหลุดจากความจริงสู่แฟนตาซีเหมือนแค่ฟังเพื่อนแล้วมาเล่าต่อแบบข้ามรายละเอียดไปหน่อยเพราะหนังต้องรีบเอาซอมบี้พันธุ์ใหม่จากเครื่องดื่มบำรุงกำลังเข้ามาและยิ่งมันมาเล่าผ่านตัวละครไม่เอาอ่าวอย่างเดสมอนด์ยิ่งทำให้ภาพความกดดันต่าง ๆ ดูบอกเล่าแบบขอไปทีและผิวเผินอย่างน่าเสียดายทั้งที่เรื่องปวดจิตของหนุ่มสาวออฟฟิศยังเอามาเล่นได้อีกเยอะ
นอกจากไอเดียหนังที่ดีแต่นำเสนอได้ยังไม่ถึงแก่นแล้วการปั้นคาแรกเตอร์ของหนังที่ดูน่าสนใจอย่าง เดสมอนด์ และอดัม นัสบามก็ไม่สามารถทำให้คนดูรู้สึกอยากเอาใจช่วยหรือสะพรึงกลัวตามได้อย่างที่หนังตั้งใจเพราะต้องยอมรับว่าแม้เราจะชอบที่พระเอกของหนังเป็นเหมือนฮีโร่ที่กล้าอู้งานเป็นตัวถ่วงบริษัทในแบบที่เราอยากเป็นก็ตามแต่นอกจากหน้าหล่อ ๆ ของเบรนตัน เทวตส์แล้วหนังก็ไม่ได้ทำให้เราอยากเข้าข้างหรือแคร์กับตัวละครนี้สักเท่าไหร่
ยิ่งตัวละครอดัม นัสบามยิ่งแล้วใหญ่เพราะการได้แซกคารี เลวีหรือชาแซมมารับบทนี้ย่อมทำให้คนดูคาดหวังกับความบ้าคลั่งทั้งในฐานะหัวหน้างานจอมเฮี้ยบแต่แอบฮาที่เอาจริง ๆ ถ้าหนังมีเวลาให้เขาได้วางท่าบ้าอำนาจหรือจิกลูกน้องอย่างอื่นนอกจากการตามรีพอร์ตแล้วเชื่อว่าตัวละครนี้จะเป็นที่น่าจดจำมากกว่าแค่หัวหน้ากินเครื่องดื่มแล้วคลั่งอย่างที่เป็นอยู่แน่ ๆ
และแม้ว่าเราจะไม่มองเรื่องบทเป็นสำคัญและเอาความมันส์ที่หนังนำเสนอ Office Uprising อาจทำผลงานได้อย่างน่าพอใจและไม่น่าเกลียดมากนัก เพียงแต่ต้องยอมรับว่าพอหนังได้ทุนสร้างน้อยการใช้ CG พร่ำเพรื่อแม้กระทั่งประกายไฟกระบอกปืนมันก็อดทำให้รู้สึกว่าหนังดู “ปลอม” ไม่ได้ ยิ่งในยุคที่เราเสียตังค์ร่วม 300 บาทกับตั๋วหนัง 1 เรื่องเท่ากันก็คงคิดหนักไม่น้อยล่ะครับว่าผลลัพธ์ดูไม่ค่อยคุ้มค่าเงินเท่าไหร่เลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส