Release Date
10/12/2020
สีดา ตำนานรักโลงคู่/ค่าย M39/ ความยาว 96 นาที
ผู้กำกับ : เอกชัย ศรีวิชัย / นักแสดง: นีโน่ กฤษฎิ์สพล สุทธิหิรัญดำรงค์ แน็ค ธเนศพิพัฒ สุทธิหิรัญดำรงค์
Our score
6.0[รีวิว] สีดา ตำนานรักโลงคู่ – ภาษารำภาษารัก
จุดเด่น
- หนังนำเสนอนาฏศิลป์ไทยในมุมที่งดงาม
- งานถ่ายภาพประณีตมาก
- เพลงประกอบภาพยนตร์ถูกเลือกสรรค์มาอย่างดี
จุดสังเกต
- ยังหนีไม่พ้นมุกตลกเกี่ยวกับกะเทยที่เห็นซ้ำมาจนชินตา
-
ความลงตัวของบทภาพยนตร์
5.0
-
คุณภาพงานสร้าง
7.0
-
คุณภาพนักแสดง
5.5
-
ความสุนทรีย์ตามแนวหนัง
5.5
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
6.9
สำหรับคนทำหนังไทยที่มีหนังฉายมากที่สุดในปีนี้คงไม่มีใครเกิน เอกชัย ศรีวิชัย ตั้งแต่มนต์รักดอกผักบุ้งที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำหลังผ่านวิกฤติโควิด 19 มาถึงอีหล่าเอ๋ยกับการทดลองทำหนังตลกอีสานจนมาถึง สีดา ตำนานรักโลงคู่เรื่องนี้ที่นายหัวของเราขยับมาทำหนังดรามา LGBTQ ที่ถือว่าเป็นก้าวที่กล้ามาก ๆ ของหนังไทยโดยหยิบตำนานรักของคุณประโนตย์กับคุณสมชายที่รู้จักในนามตำนานรักโลงคู่วัดหัวลำโพงมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์
โดยเรื่องราวในภาพยนตร์จะเล่าถึง ประโนตย์ (นีโน่ กฤษฎ์สพล) กะเทยผู้ผิดหวังในรักครั้งแรกกับนักเลงหัวไม้จนเธอคิดฆ่าตัวตายและกลายเป็นนักเรียนนาฏศิลป์ที่ถูกไล่ออกแม้การรำเป็นสีดาจะเป็นสิ่งที่เธอรักก็ตาม แต่ในช่วงเวลาที่เธอเริ่มยืนได้ตัวเองเธอก็ได้พบรักครั้งใหม่กับชีพ (แน็ค ธเนศพิพัฒ) หนุ่มคนขับแท็กซี่คนซื่อที่เข้ามาเหมือนน้ำชะโลมจิตใจ ชีพรักและเอาใจใส่ประโนตย์โดยไม่สนใจสายตาคนอื่นจนกระทั่งพฤติกรรมของชีพที่เปลี่ยนไปก็ทำให้ประโนตย์หวั่นใจจนลงท้ายกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทุกคนพูดถึง
สีดา มีจุดเด่นที่แข็งแรงมากในแง่ของการนำเสนอเรื่องราวผ่านนาฏศิลป์ไทยอย่างโขนแม้มันจะถูกนำเสนอทื่อ ๆ ในตอนแรกแต่ด้วยมุมมองศิลปินของนายหัวเอกชัยก็ทำให้เราได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ของเขาผ่านการบอกรักผ่านท่ารำเพื่อล้อไปกับการเป็นนางรำของประโนตย์ได้อย่างงดงามรวมถึงการเลือกสถานที่ถ่ายทำที่เป็นทะเลแสนงดงามก็ถือเป็นโบนัสให้ผู้ชมได้ชมธรรมชาติสวย ๆ ของเมืองไทยไปด้วย
และแม้บางฉากจะประดิดประดอยจนดูแล้วเกิดอาการจั๊กกะจี้ไปบ้างทั้งเลิฟซีนที่ต้องค่อย ๆ แกะผ้าเช็ดตัวเอามือไปลูบไล้บั้นท้ายก่อนจะพากันไปที่เตียงนอน หรือพอถึงซีนที่มีการรำไทยจะต้องทำภาพสโลว์โมชันแต่ก็ถือว่าเป็นมุมมองทางศิลปะของคนทำหนังที่เราชื่นชมนะครับ รวมไปถึงการใช้เพลงประกอบภาพยนตร์สุดไพเราะที่เสริมส่งอารมณ์ไม่ให้เสียชื่อศิลปินเพลงเลยทีเดียว
แต่กระนั้นกับดักที่ทำให้ สีดา ก้าวไม่พ้นมุมมองต่อกะเทยในภาพยนตร์ไทยจริง ๆ คงหนีไม่พ้นบรรดามุกตลกที่ยังคงเหมือนภาพเดจาวูมาตั้งแต่หนังอย่างเพลงสุดท้ายทั้งการล่วงละเมิดทางเพศหรือคำพูดที่ดูจะหมกมุ่นกับเรื่องเพศทั้งประโยค “เข้าทางประตูหลัง” เอยหรือ “ตอนเอากันเอายังไงวะ” ซึ่งเชื่อว่าถ้าหนังไปให้ความสำคัญกับการโฟกัสที่ความรู้สึกหรือปมในจิตใจของตัวละครทั้ง 2 มากกว่านี้เชื่อว่าจะเป็นมิติใหม่สำหรับหนัง LGBTQ ไทยเลยล่ะครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส