Release Date
30/12/2020
ITO ตลอดมา ตลอดไป คือเธอ
ความยาว 130 นาที
นักแสดง
มาซาคิ ซึดะ นานะ โคมัตสึ นานะ เอคุระ
Our score
7.4[รีวิว] ITO ตลอดมา ตลอดไป คือเธอ – หนังรักยุงแต่มีผลต่อหัวใจ
จุดเด่น
- การแสดงของ นานา โคมัตสึ คือโดดเด่นมาก
- เป็นหนังน้ำเน่าญี่ปุ่นที่เรียกน้ำตาคนดูได้
จุดสังเกต
- พลอตเรื่องและลีลาการเล่าที่ดูแล้วอาจไม่มีอะไรแปลกใหม่จากหนังญี่ปุ่นทั่วไปนัก
- การดึงเหตุการณ์สำคัญในยุคเฮย์เซย์ บางอย่างก็ไม่ค่อยเข้ากับหนังนัก
-
ความลงตัวของบทภาพยนตร์
7.0
-
คุณภาพงานสร้าง
7.5
-
คุณภาพนักแสดง
8.0
-
ึความสนุกตามแนวหนัง
7.0
-
ความคุ้มค่าบัตรชมภาพยนตร์
7.5
เมื่อปี 2019 ที่ญี่ปุ่นมีการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดยุคเฮย์เซย์หรือก็คือการสิ้นสุดรัชสมัยการครองราชย์ของ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ซึ่งทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1989 ถึงวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2019 สิริรวม 31 ปี และมันก็ส่งต่อสู่ยุคเรวะเมื่อ สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2019 ซึ่งยุคสมัยเฮย์เซย์ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญมากมายที่ส่งผลกระทบต่อคนญี่ปุ่นเอง ซึ่งนั่นทำให้ ITO หนังที่เรากำลังพูดถึงนี้กลายเป็นบทบันทึกประวัติศาสตร์ย่อม ๆของยุคเฮย์เซย์เลยทีเดียว
โดยหนังจะเล่าเรื่องราวและนำเสนอเหตุการณ์สำคัญผ่าน เร็น (มาซากิ สุดะ) เด็กหนุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับความรักอันมั่นคงต่อ อาโออิ (นานะ โคมัตสึ) เด็กสาวที่ถูกทารุณกรรมจากพ่อเลี้ยง ซึ่งโชคชะตาได้พาพวกเขาให้พบพรากจากและสุขเศร้าซึ่งหนังได้เอาเหตุการณ์สำคัญของโลกแทรกไว้ตลอดทั้งเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 หรือ 911, วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์, ซับไพร์มตลอดจนภัยจากสึนามิถล่มญี่ปุ่น
และอย่างที่บอกว่าหนังของทาคาฮิสะ เซเสะเรื่องนี้ตั้งใจบันทึกเรื่องราวของยุคเฮย์เซย์ในรูปแบบหนังรักและแน่นอนเพลงรักจากยุคเฮย์เซย์ที่โดดเด่นเป็นเพลงสามัญประจำร้านคาราโอเกะอย่างเพลง Ito ของ มิยูกิ นาคาจิมะ จึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักเชิงพรหมลิขิตบันดาลชักพาที่กินใจและกลายเป็นชื่อหนังซึ่งมันก็ไปได้ดีกับธีมการผูกพันของคู่รักที่ชีวิตมีอันต้องเฉียดกันไปกันมาเพื่อรอวันจะได้สมใจปอง
อ่านแล้วน้ำเน่าไหมครับ ? สำหรับผมหนังเรื่องนี้คือน้ำเน่ามากเลยครับ ฮ่าาาา แต่สิ่งที่หนังทำถึงมาก ๆ คืองานกำกับของเซเสะ ที่สามารถถักทอความสัมพันธ์ของอาโออิและเร็นแบบค่อยเป็นค่อยไปทั้งที่หนังมีช่วงที่แวะไปเล่าชีวิตของแต่ละคนแบบจริงจังมาก ๆ ทั้งเร็นที่พบรักกับสาวรุ่นพี่ในโรงงานชีสและอาโออิที่ไปเป็นพนักงานทำเล็บที่สิงคโปร์เพื่อสื่อให้เห็นความต่างของการมองโลกของ 2 ตัวละครที่คนหนึ่งเลือกไปให้ไกลจากอดีต ส่วนอีกคนเลือกจะอยู่ที่เดิมเพื่อรอให้ความรักกลับมาหาเขา
ซึ่งการเรียบเรียงอารมณ์ของหนังถือว่าทำได้ดีมาก ๆ เพราะแม้ทั้งคู่จะไม่ได้เจอกันตลอดและมีซีนที่แยกจากกันชัดเจนมันก็ยังหล่อเลี้ยงอารมณ์ถวิลหากันได้ดีมาก ส่วนบทภาพยนตร์ก็นับได้ว่า ITO ไม่ได้หมกมุ่นกับแนวคิดเชย ๆ อย่างการต้องรอเธอไปชั่วนิรันดร์แล้วตรงกันข้ามมันกลับเข้าใจชีวิตหนุ่มสาวในยุคเฮย์เซย์มาก ๆ โดยทั้งอาโออิกับเร็นก็มีช่วงที่แยกย้ายไปมีความรักครั้งใหม่กันแถมเป็นรักที่ดีจนเราอดเสียน้ำตาให้พวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ (เราเตือนแล้วนะ ว่าทิชชู่อย่าให้ขาด ฮืออออ)
แต่กระนั้นการที่หนังพยายามจะใส่เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เข้ามาบางช่วงตอนมันก็ไม่ค่อยเข้ากันนักเช่นวิทยุที่รายงานข่าววินาศกรรม 911 ในซีนโรแมนติก แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนน้อยมากจนไม่อาจกลับความดีของหนังในภาพรวมได้เลย และแน่นอนว่ามันคงเป็นบาปสำหรับผมเลยทีเดียวหากจะละเลยการพูดถึงคู่รักจากหนังอย่าง มาซากิ สุดะ และ นานะ โคมัตสึ
ยอมรับตามตรงว่าพอมงคลภาพยนตร์โปรโมตว่าหนังเรื่องนี้ทำให้พ่อหนุ่มมาซากิ สุดะกับน้องนานะ โคมัตสึได้เป็นแฟนกันนี่ผมแทบจะไม่อยากไปดูเลยทีเดียวไม่ใช่อะไรนะ อิจฉาตาร้อน ฮ่าาาาาา แต่เมื่อได้ดูหนังจริง ๆ ก็ยอมรับแหละว่าทั้งคู่เคมีความโรแมนติกมันล้นจอจริง ๆ ก็ไม่แปลกล่ะที่จะได้เป็นแฟนกัน ! (มองจิกไปที่โปสเตอร์) และเมื่อตัดความริษยาส่วนตัวออกก็พบว่าการแสดงของทั้งคู่ได้กลายเป็นหัวใจของหนังอย่างแท้จริง
เพราะในขณะที่มาซากิ สุดะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนจากหนุ่มช้ำรักไปสู่ผู้ชายที่ต้องดูแลครอบครัวเขาก็ทำให้คนดูอย่างเราเอาใจช่วยให้เขาข้ามผ่านอุปสรรคชีวิตต่าง ๆ นานาได้ ส่วนนานะ โคมัตสึ ได้บทที่ท้าทายมากเพราะเมื่ออาโออิเติบโตมาก็ได้ผู้สุดหล่อมาเปย์นางขั้นสุดแต่นั่นก็เป็นเหตุให้นางระเห็จไปผจญชะตากรรมชีวิตที่สิงคโปร์ซึ่งฉากที่นางกินข้าวหน้าหมูทอดที่สิงคโปร์แล้วร้องไห้ออกมานี่สุดจะกลั้นจนต้องร้องไห้ตามจริง ๆ ฮือออ น้องนานากินข้าวไม่อร่อยยยยย
และไม่เพียงแค่คู่พระนางนะครับอีก 2 ตัวละครสำคัญที่มาเรียกน้ำตาคนดูกันแบบไม่กลัวดรรชนีค่าทิชชู่พุ่งปรี๊ดยังได้แก่ นานะ ไอกูระ ในบท คาโอริ คิริโนะ สาวรุ่นพี่โรงงานชีสที่ชอบเอาถั่ววอลนัตปาใส่เร็นจนได้กลายเป็นภรรยาของเขาที่มาทำให้ ITO ไม่เพียงเป็นหนังรักหวาน ๆ เท่านั้นแต่ชะตากรรมของเธอยังทำให้เราต้องเสียน้ำตากับความรักอันดีงามที่เธอมีให้ต่อครอบครัวอีกด้วย
สรุปแล้วแม้ ITO อาจจะไม่ได้เป็นหนังรักที่เพอร์เฟกต์นักเพราะมันก็ยังเล่นท่าเดิมที่คนดูหนังญี่ปุ่นเห็นมาจนเฝือแถมติดจะน้ำเน่าด้วยซ้ำ แต่ด้วยการกำกับและการแสดงที่ผสมผสานกันพอดีระหว่างเรื่องรักน้ำเน่ากับการบันทึกประวัติศาสตร์ในช่วงยุคเฮย์เซย์ก็ทำให้ ITO กลายเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่จะไม่จมหายไปกับการส่งท้ายปี 2020 นี้แน่นอนครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส