Release Date
24/12/2020
วอน (เธอ)
ความยาว 122 นาที
นักแสดง
ฟ้า - ษริกา สารทศิลป์ศุภา มีน - พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร เซ้นต์ - ศุภพงษ์
Our score
6.0[รีวิว] วอน (เธอ) – เรื่องเล่าเวียนวนคนคลั่งรัก
จุดเด่น
- งานภาพของหนังถูกดีไซน์มาเป็นอย่างดี
- การเลือกโลเคชันของหนังทำได้น่าสนใจมาก
- การแสดงของเซ้นต์ ศุภพงษ์ ถือว่าน่าพึงพอใจ
จุดสังเกต
- บทภาพยนตร์พยายามเล่ามุมมองตัวละครแต่กลับเกิดช่องโหว่ที่มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ
- คาแรกเตอร์ของตัวละครไม่ค่อยดึงดูด
- การแสดงของนักแสดงส่วนใหญ่ยังมีส่วนที่ต้องพัฒนาอีกมาก
-
ความลงตัวของบทภาพยนตร์
5.0
-
คุณภาพงานสร้าง
7.0
-
คุณภาพนักแสดง
6.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
6.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
6.0
แม้หนังไทยทุกปีที่ออกฉายจะมีหนังรักเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญเสมอแต่ก็น้อยเรื่องที่จะเลือกเล่า 1 เหตุการณ์ในมุมมองของตัวละครแต่ละตัวที่แตกต่างกันโดยหนังไทยที่เคยทำประเด็นนี้ได้โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น fake โกหกทั้งเพ (2546) ที่เคยถูกพูดถึงในแง่การออกแบบงานภาพได้อย่างโดดเด่นและปีนี้ วอน(เธอ) ก็มาในคอนเซปต์ที่ใกล้เคียงกันอย่างน่าตกใจ
หนังเลือกใช้ เนเน่ (ฟ้า ษริกา)สาวสวยเสน่ห์แรงเป็นศูนย์กลางของเรื่องที่มีหนุ่ม ๆ ต่างหมายปองในตัวเธอ ทั้งเดียว (มีน พีรวิชญ์) หนุ่มขี้อายที่หลงรักเนเน่ตั้งแต่แรกเห็น บิว (พีค ภีมพล) เพื่อนรักของเดียวที่เป็นตัวแปรสำคัญในความสัมพันธ์ครั้งนี้และโอม (เซ้นต์ ศุภพงษ์) หนุ่มหล่อเพลย์บอยที่มาทีหลังแต่กลับสานสัมพันธ์กับเนเน่อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อความรักของเนเน่มีให้ได้แค่คนเดียวสุดท้ายเธอจะเลือกใครและความสัมพันธ์ครั้งนี้จะมีบทสรุปเช่นใด
วอน (เธอ) เป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของ ชิง สุโกสินทร์ อัครพัฒน์ ที่เคยอยู่เบื้องหลังบทหนังในซีรีส์ตีสามของไฟว์สตาร์มาก่อน และต้องบอกว่าการเลือกเล่าหนังในมุมมองตัวละครแต่ละตัวต่อ 1 เหตุการณ์ที่ให้ผลลัพธ์ต่างกันก็นับว่าทะเยอทะยานไม่น้อยแถมยังออกแบบงานศิลป์ทั้งการจัดแสงและงานอาร์ตแบบแยกสีตัวละครก็ถือเป็นเหมือนทายาทห่าง ๆ ของ Fake โกหกทั้งเพ ไม่น้อยเลย.
แต่กระนั้นสิ่งที่บล็อกไม่ให้มันไปสู่เป้าหมายอย่างงดงามก็คือบทภาพยนตร์นี่แหละครับคือพอดูหนังที่ความยาวร่วม 2 ชั่วโมง 4 ตัวละครที่วนเวียนแต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ โดยที่ตัวละครไม่ได้มีพัฒนาการอะไรเลยสักตัวมันเลยเหมือนเรากำลังพายเรือวนในอ่างไม่ไปไหน
แม้หวังว่าสุดท้ายเราจะเข้าใจตัวละครแต่ละตัวมากขึ้นบ้างแต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้รู้จักตัวละครมากขึ้นเลยเมื่อหนังจบจนน่าเสียดายคอนเซปต์ในการถ่ายทอดเรื่องราวที่ถูกคิดมาอย่างดีแถมในบางจังหวะพอหนังเปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องเราจะเห็นช่องโหว่ในการลำดับเหตุการณ์ที่ดูสับสนจนงงว่าเหตุการณ์ไหนมาก่อนเหตุการณ์ไหนกันแน่จนขาดความสมเหตุสมผลไปหน่อย
อีกจุดหนึ่งที่อาจพอให้อภัยได้แต่มันก็เป็นแผลเป็นที่เหวอะหวะจริง ๆ ก็คือการแสดงนี่แหละครับบางทีผู้กำกับอาจดีไซน์ตัวละครแบบอยากให้คนดูรักตัวละครมากไปหน่อยจนมันดูฝืน ๆ อย่างบทเดียวที่ไม่ได้ให้มีน พีรวิชญ์ทำอะไรไปมากกว่าการเป็นหนุ่มขี้อายน่ารัก ๆ ที่ช้ำรักหรือโอมที่พีค ภีมพลนอกจากโชว์หน้าหล่อ ๆ และร้องไห้ปลอม ๆ แล้วหนังก็แทบจะไม่ได้ท้าทายความสามารถอะไรของเขาออกมาสักเท่าไหร่
ส่วนฟ้า ษริกาผมยอมรับนะครับว่าเธอสวยและหนังก็ทำให้เธอรู้ตัวตลอดเวลาว่าเธอสวย จนจริตจะก้านอะไรดูสวยไปหมดแต่พอดูไปนาน ๆ แล้วมันก็ออกมาฝืนอยู่ดี และจุดบอดจากบทภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องจากหลายมุมมองก็ทำให้คาแรกเตอร์เธอไม่นิ่งสุดท้ายแทนที่หนังจะทำให้เราเห็นใจหรือเข้าใจในเหตุผลการตัดสินใจของเธอมากขึ้นสุดท้ายก็กลายเป็นหลุมดำอยู่ดี
แต่กระนั้นนักแสดงคนเดียวที่ฝากผลงานการแสดงไว้ได้น่าประทับใจอย่างไม่น่าเชื่อกลับกลายเป็นพีค ภีมพลในบทบิว ตัวละครที่ซับซ้อนและชวนคนดูสำรวจเพศสภาพอันเลื่อนไหลได้อย่างเป็นธรรมชาติแม้สุดท้ายบทหนังจะไม่สามารถพาตัวละครของเขาไปสู่ประเด็นที่อยากพูดถึงได้อย่างสมบูรณ์ก็ตาม และไม่พูดถึงไม่ได้คือนักแสดงสมทบอย่างพี่อิงค์ อชิตะ ปราโมช ณ. อยุธยาในบทพ่อของเดียว กับบทพูดคม ๆ ที่แม้ออกมาไม่กี่ฉากแต่น่าจดจำเสมอ รวมถึงพี่เมย์ ภัทรวรินทร์ ทิมกุล ในบทแม่ของบิวที่ทั้งงดงามและให้การแสดงที่ไม่เสียชื่อสุดยอดนักแสดงมากฝีมือ
ขอชวนคุยเรื่องเพลงประกอบทิ้งท้ายซึ่งเราเห็นความตั้งใจของผู้กำกับไม่น้อยเลยที่พยายามจะดีไซน์การใช้เพลงประกอบหนังจากเพลงดังซึ่งแม้ในตัวอย่างหนังเราจะได้ยินเสียงน้องวันเดอร์เฟรมในเพลง วอน ฉบับรีเมกที่ดูทันสมัยและมีกลิ่นอายของเพลงแรปตามสมัยนิยม
แต่กระนั้นกลับเป็นเพลงดังยุค 90-2000 อย่าง สองใจ ของพี่ตุ้ยธีรภัทรที่หนังเอามาเป็นเพลงธีมในการเล่าเรื่องราวของหัวใจที่กำลังค้นหาคำตอบของเนเน่ซึ่งเอามาดีไซน์ใหม่ได้เอ่อ…ชวนอึดอัดมากครับ 555 หรือเราอาจจะคุ้นกับเวอร์ชันพี่ตุ้ย ธีรภัทรมากไปหน่อยก็ได้แต่พอมาทำใหม่แล้วกลับรู้สึกเหมือนคนร้องกำลังอมไมโครโฟนอยู่ยังไงไม่รู้ 555
แต่กระนั้นในส่วนของเพลงอื่น ๆ ก็ทำได้ดีนะครับโอบอุ้มบรรยากาศของหนังได้ดีทีเดียวและมันก็ไปกับงานดีไซน์เรื่องการจัดสีให้แต่ละตัวละครได้เป็นอย่างดีซึ่งนับเป็นจุดที่น่าชื่นชมของหนังควบคู่กับการใช้โลเคชันที่แปลกใหม่ได้อย่างน่ามองไม่น้อยเลยทีเดียว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส