ข่าววงการหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่สร้างรายได้อันดับหนึ่งของโลกอย่าง สไปเดอร์แมน กลับมาน่าตื่นเต้นอีกครั้ง นับตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก เมื่อโซนี่ยอมจับมือกับมาร์เวลให้เข้ามาพัฒนายกเครื่องหนังไอ้แมงมุมใหม่ โดยแลกเปลี่ยนกับการที่มาร์เวลจะได้สไปดี้ไปยิงใยแมงมุมในหนังของมาร์เวล โดยจะเริ่มตั้งแต่หนัง Captain America: Civil War ที่มีคิวฉายในปี 2016

แม้ในการ์ตูน ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือสไปเดอร์แมน จะมีชีวิตที่แสนอาภัพยากเข็ญ แต่ในโลกของการตลาด สไปเดอร์แมน คือคาร์แรกเตอร์ที่สามารถสร้างรายได้จากสินค้าต่อยอดต่างๆรวมแล้วเป็นอันดับหนึ่งของโลกทีเดียว และเพราะมีเรื่องเม็ดเงินมหาศาลมาเกี่ยวข้องนี้เอง จึงเป็นความยากของการร่วมมือกันระหว่างโซนี่พิกเจอร์ กับ มาร์เวลสตูดิโอของดิสนี่ย์

 

ชะตาชีวิตอันยากลำบากของสไปดี้ในโลกจอเงิน เมื่อผลกำไรมหาศาลมาพร้อมเอกสารสัญญาอันใหญ่ยิ่ง

ชะตาชีวิตอันยากลำบากของสไปดี้ในโลกจอเงิน เมื่อผลกำไรมหาศาลมาพร้อมข้อตกลงยุ่งยากอันใหญ่ยิ่ง

โดยปัญหาแรกสุดของที่สุดเลยคือ ใครจะมาเป็นนักแสดงนำ? และใครจะกำกับ?

ท่ามกลางข่าวลือต่างๆนานาของแฟนๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีตั้งแต่จะใช้ มาร์ก เว็บบ์ ผู้กำกับจากชุดอเมสซิ่งมาทำต่อ หรือนำแซม ไรมี่ ผู้กำกับจากชุดไตรภาคดั้งเดิมกลับมาทำ แต่ความคิดนี้ก็ตกไปแม้ว่าทางโซนี่จะสนใจมากก็ตาม เพราะเมื่อดูจากการเลือกผู้กำกับของฝั่งมาร์เวลที่มักจะเน้นคนที่สดใหม่ ไม่มีชื่อเสียงมาก แต่เข้าใจในทิศทางการทำงานของมาร์เวลได้ดีมากกว่า แซม ไรมี่ที่มีคุณสมบัติไม่เข้าพวกจึงตกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นผู้กำกับที่เข้าข่ายหลายต่อหลายชื่อก็ถูกลือว่าจะเข้ามาร่วมโปรเจคนี้  ที่มีกระแสหน่อยก็อย่าง Drew Goddard ผู้กำกับ Cabin in the Wood (2012) ที่เซ็นสัญญากำกับหนังรวมพลคนตัวร้ายร่วมจักรวาลสไปดี้อย่าง The Sinister Six ไปก่อนหน้าแล้ว นอกจากนั้นยังมีรายชื่อผู้กำกับอย่าง Jonathan Levine จากหนัง Warm Bodies, John Francis Daley และ Jonathan M. Goldstein จากหนัง Vacation รวมถึง Ted Melfi จากหนัง St. Vincent ร่วมข่าวลือมาด้วย แต่กระนั้นก็ไม่มีคำยืนยันทางการอะไรออกมาจากทั้งสองค่าย

Sam Raimi ผู้กำกับไตรภาคดั้งเดิมที่โซนี่อยากให้กลับมาสุดๆ

Sam Raimi ผู้กำกับไตรภาคดั้งเดิมที่โซนี่อยากให้กลับมาสุดๆ

มาดูฝั่งนักแสดงก็ยุ่งอีรุงตุงนังไม่แพ้กัน แต่ที่ชัดเจนมากๆคือ แอนดรูว การ์ฟิลด์ สไปดี้ดนเดิมไม่ได้ไปต่ออย่างแน่นอน จากนั้นก็มีข่าวลือที่น่าตกตะลึงในหมู่แฟนๆว่า สไปเดอร์แมนคนใหม่จะไม่ใช่ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ อีกต่อไป หากแต่เป็น ไมลส์ มอราเลส เด็กหนุ่มแอฟริกัน-อเมริกันที่มาสวมชุดแทนปีเตอร์หลังจากที่ตายไปในคอมมิคซีรี่ย์ Ultimate Spider-Man: The Death of Spider-Man นั่นเอง  แล้วนักแสดงผิวดำหลายคนก็เริ่มมีชื่อเข้ามาในข่าวลือ ก่อนจะถูกสยบไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมาร์เวลออกมายืนยันว่า สไปเดอร์แมนรีบูท จะยังเป็นปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ต่อไปเหมือนเดิม สอดคล้องกับอีเมล์ที่โซนี่กับมาร์เวลคุยกันซึ่งหลุดออกมาในช่วงแฮ็กเกอร์โจมตีโซนี่ว่า “สไปเดอร์แมน จะต้องเป็นเด็กวัยรุ่นผู้ชายผิวขาว ที่ชอบเพศตรงข้ามเท่านั้น” เป็นอันจบข่าวสไปดี้ผิวสีที่สร้างความแตกแยกในหมู่แฟนบอยไป

Miles Morales สไปเดอร์แมนผิวสีในฉบับคอมมิค

Miles Morales สไปเดอร์แมนผิวสีในฉบับคอมมิค

เมื่อกลับมาเป็นนักแสดงผิวขาววัยรุ่น นักแสดงหลายคนมีชื่อเข้าวินมาในข่าวลือทั้งจากฝั่งโซนี่และมาร์เวลไม่ต่ำกว่า 10 ชื่อ ทั้ง Ansel Elgort, Daniel Radcliffe, Freddie Highmore, Alfred Enoch, Donald Glover, Josh Hutcherson, Grant Gustin, Nat Wolff, Sean O’Donnell, Chandler Riggs, Liam James, Timothée Chalamet, Judah Lewis, Matthew Lintz, Charlie Plummer, Charlie Rowe และอีก บลาๆๆๆๆ

แต่ที่ใกล้เคียงความจริงวงในสุดๆก็ได้แก่ Dylan O’Brien ที่ดูจะมีข่าวหนาหูสุดๆจนหลายคนคิดว่าน่าจะชัวร์แล้วด้วยซ้ำ ต่อมาก็ Logan Lerman ที่มักมีชื่อพ่วงเป็นตัวเลือกมาแต่ต้น อีกคนก็ Billy Unger ที่ดังขึ้นมาเพราะไปปรากฏตัวในงานเปิดตัวอเวนเจอร์: เอจออฟอัลตรอน แบบไม่มีสาเหตุแถมไปโพสต์ในอินสตาแกรมทำนองว่าตัวเองอาจได้เป็นสไปดี้ด้วย ต่อมาก็ตัวเต็งอีกคนอย่าง Asa Butterfield ที่โด่งดังมาจาก Ender’s Game (2013) และสุดท้าย Mateus Ward ที่ลือว่ามาร์เวลอยากได้สุดๆ 

โฉมหน้านักแสดงหนุ่มตัวเก็งที่ถูกลือว่าจะมาเป็นสไปดี้คนใหม่

โฉมหน้านักแสดงหนุ่มตัวเก็งที่ถูกลือว่าจะมาเป็นสไปดี้คนใหม่


และก่อนหน้านี้ไม่กี่วันก็มีข่าวความเห็นไม่ลงรอยกันระหว่างโซนี่และมาร์เวลเรื่องตัวแสดงจนได้ ดูเหมือนว่าแต่ละฝั่งจะมีชื่อในใจของตัวเองที่ไม่ตรงกัน จนส่ออาจเป็นปัญหาให้โปรเจกล่าช้าออกไปได้ และร้ายสุดคือหากบานปลายก็อาจล่มไปเลย แต่ก่อนอะไรๆจะลือกันเลวร้ายกว่านั้น เมื่อวันก่อนนี้เองจึงได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการของทั้งสองค่ายออกมา เป็นอันปิดกระแสข่าวลือทั้งหมดที่มีมาตลอดลงเสียที

แล้วหวยก็ออกมาที่ ผู้กำกับคือ Jon Watts  ผู้กำกับที่เอ่อ..จะว่าไปเขาคือใครฟระ วัตต์สมีผลงานหนังไม่กี่เรื่องก่อนหน้านี้ ทั้งยังเป็นหนังที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากด้วย โดย Kevin Feige ผู้คุมบังเหียนจักรวาลหนังมาร์เวล และ Amy Pascal อดีตผู้บริหารโซนี่พิกเจอร์ สองโปรดิวเซอร์หลักได้เป็นคนเลือกวัตต์สเองกับมือทีเดียว โดยมีโจทย์ว่าพวกเขาต้องการผู้กำกับที่มีประสบการณ์ในทางงานคอมเมดี้ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีวิสัยทัศน์ใหม่ๆที่แตกต่างจากหนังเดิมๆด้วย ซึ่งพอดีที่วัตต์สมีผลงานเก่าๆที่เด่นในทางคอมเมดี้อย่างรายการข่าวปลอมๆเสียดสีๆอย่าง The Onion News Network ด้วย จึงน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาได้รับเลือก

และถ้าจะดูผลงานหนังยาวก่อนหน้าของเขา เขาก็ถือว่ายังถนัดในแนวเขย่าขวัญ และการทำงานกับนักแสดงเด็กดีทีเดียว อย่าง Clown (2014) ว่าด้วยเรื่องของพ่อที่บังเอิญใส่ชุดตัวตลกผีสิงที่ชอบฆ่าเด็ก เพื่อมาอวยพรลูกชายตัวเองในงานวันเกิด หรือล่าสุดอย่างหนังกระแสดีในเทศกาลซันแดนซ์เรื่อง Cop Car (2015) ที่ว่าด้วยสองเด็กชายที่ดันไปเจอรถตำรวจถูกทิ้งไว้ จึงเอาไปขับเล่นด้วยความคึกคะนอง ก่อนจะถูกนายอำเภอเจ้าของรถตามไล่ฆ่าเพราะมีความลับบางอย่างที่เขาซุกซ่อนไว้หลังกระโปรงรถตำรวจคันนั้น จะว่าไปก็ดูน่าสนใจดี เข้าตามตำราผู้กำกับหนังใหม่ของมาร์เวลทุกประการ

จอน วัตต์ส ได้รับเลือกให้กำกับหนังราวๆหนึ่งสัปดาห์ก่อนการประกาศทางการเท่านั้นเอง

Jon Watts ผู้กำกับม้ามืดที่เข้ามาชิงเก้าอี้ผู้กำกับไปได้

Jon Watts ผู้กำกับม้ามืดที่เข้ามาชิงเก้าอี้ผู้กำกับไปได้

ส่วนนักแสดงก็มายืนยันกันที่ Tom Holland ที่มีชื่อแถมๆมาตลอด เพราะเขามีผลงานดังๆแค่ The Impossible (2012) หนังสึนามิที่ถ่ายทำในไทย และกำลังมีหนังใหม่ที่แสดงร่วมกับเทพเจ้าสายฟ้าเนื้อหอมอย่าง Chris Hemsworth ในหนังล่าวาฬยักษ์ In the Heart of the Sea(2015) เท่านั้นเอง แต่นั่นล่ะ คนที่ฝ่าฟันการคัดเลือกที่มีนักแสดงชายที่ทั้งโด่งดังและมีฝีมือการแสดงโดดเด่นร่วมคัดด้วยด้วยจากทั้งหมดกว่า 1,500 คน และชิงบทที่ดังสุดๆบทหนึ่งของโลกได้นั้น ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน

เรามาดูเส้นทางกว่าที่ทอม ฮอลแลนด์จะเข้ามาเป็นสไปเดอร์แมนกันว่ายากลำบากเพียงใด

ขั้นตอนการคัดเลือกนั้นมีหลายรอบทีเดียว โดยขั้นแรกจากนักแสดงชายที่มาต่อคิวสมัครกว่า 1,500 คน ทางสตูได้จำกัดอายุที่ต้องการลงแค่ 14-19 ปี เนื่องด้วยหนังจะจับความที่ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ตอนสมัยเรียนมัธยมปลาย และจากสัญญาหนังเดี่ยวสไปเดอร์ที่มีถึงสามภาค การเลือกนักแสดงเด็กจะทำให้ไม่โดดกลายเป็นผู้ใหญ่มากไปเมื่อภาคสุดท้ายออกฉาย โดยที่ผ่านมาทั้งโทบี้ แม็กไกวร์ และแอนดรูว การ์ฟิลด์ ต่างก็อยู่ในช่วงปลาย 20 แล้วทั้งสิ้น

ในขั้นนี้ Sarah Finn หัวหน้าฝ่ายคัดเลือกนักแสดงของหนังหลายๆเรื่องของมาร์เวล ได้ทำการคัดนักแสดงเข้ามาเป็นตัวเก็งเหลือเพียง 6 คน เท่านั้นคือ  Asa Butterfield, Judah Lewis, Matthew Lintz, Charlie Plummer และ Charlie Rowe ส่วนฮอลแลนด์นั้น เข้าเกณฑ์มาด้วยวัย 19 ปีเป๊ะทีเดียว

ถัดมาในวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้ผ่านการคัดเลือกทั้ง 6 คนได้ถูกพาไปทำการทดสอบลับที่แอตแลนต้าสถานที่ถ่ายทำกัปตันอเมริกาซีวิลวอร์ เพื่อเข้ารับการทดสอบต่อบทกับอเวนเจอร์สรุ่นพี่อย่าง Robert Downey Jr. หรืออาเฮียไอออนแมนนั่นเอง ทั้งนี้เพราะสไปดี้ต้องไปปรากฏตัวเป็นตัวสำคัญหนึ่งในอีเว้นท์ซีวิลวอร์ และต้องมีการเข้าฉากกับขั้วตรงข้ามกัปตันอเมริกาอย่างโทนี่ สตาร์ก และมี เอมี่ ปาสคาล กับ เควิน ไฟกี สองโปรดิวเซอร์ใหญ่ร่วมให้คะแนนด้วย โดยขั้นนี้ต้องคำนึงถึงเคมีการแสดงที่เข้ากันระหว่างเด็กม.ปลายกับเศรษฐีใหญ่วัยกลางคนด้วยนั่นเอง

หลังจากขั้นนี้ ทีมงานเหลือนักแสดงในใจเพียง 2 คนคือ ชาร์ลี โรว์ กับ ทอม ฮอลแลนด์ นั่นเอง โดยฮอลแลนด์นั้นค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบของทีมงานมากกว่า และเพื่อความชัวร์ทีมงานจึงได้ให้ฮอลแลนด์ทดสอบบทกับ Chris Evans หรือกัปตันอเมริกาเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา แล้วก็แน่นอน นักแสดงอังกฤษรายนี้ได้เซ็นสัญญารับบทไปในที่สุด

Tom Holland กับ Charlie Rowe สองตัวเลือกในโค้งสุดท้าย

Tom Holland กับ Charlie Rowe สองตัวเลือกในโค้งสุดท้าย

และหากใครที่ยังสงสัยในความเหมาะสมของฮอลแลนด์ บางทีน่าจะลองไปติดตามทวิตเตอร์ของนักแสดงหนุ่มซึ่งเขาได้โพสต์วิดีโอโชว์ทักษะสตันท์หลากหลายอย่างการกระโดดตีลังกาให้ชมกันดู น่าลุ้นเหมือนกันว่าเขาจะเป็นปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ต่างจากที่เราคุ้นชินยังไงบ้าง

ติดตามทวิตเตอร์และชมวิดีโอของทอม ฮอลแลนด์ที่: https://instagram.com/tomholland2013/

ฮอลแลนด์ โพสต์วิดีโอโชว์ทักษะสตันท์ที่อาจนำไปใช้ในหนังก็ได้

ฮอลแลนด์ โพสต์วิดีโอโชว์ทักษะสตันท์ที่อาจนำไปใช้ในหนังก็ได้

สไปเดอร์แมนคนใหม่จะร่วมปรากฏตัวครั้งแรกใน Captain America: Civil War ที่มีคิวฉายเดือนพฤษภาคมปีหน้า และหลังจากนั้นจะโชว์เดี่ยวในหนังของตัวเองที่มีกำหนดฉายในปี 2017

ที่มา: The Hollywood Reporter