เชื่อว่านักเล่นเกมหลายคนคงจะรู้สึกผิดหวังจนแทบไม่อยากคาดหวังอะไรแล้ว เมื่อมีการประกาศจากค่ายหนังว่าจะมีการสร้างภาพยนตร์จากวิดีโอเกม เพราะตั้งแต่ในอดีตมาเราแทบจะไม่เจอภาพยนตร์ที่มาจากเกมเรื่องไหนที่ออกมาดีเท่าที่แฟนเกมต้องการ และเมื่อคนเล่นเกมออกมาบ่น คนที่ไม่ได้เล่นเกมเมื่อได้ดูเรื่องเดียวกันกลับบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นมันก็สนุก จนกลายเป็นว่าคนที่ไม่ได้เล่นเกมอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมคนเล่นเกมถึงออกมาบ่น วันนี้เราเลยอยากเอาความรู้สึกของคนเล่นเกมมาอธิบาย ให้คนที่ไม่ได้เล่นเกมเข้าใจว่าคนเล่นเกมเขารู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ ส่วนคนที่เล่นเกมก็จะได้รู้ว่าความจริงอีกมุมที่ว่า การสร้างภาพยนตร์ให้ออกเป็นเกมบางทีมันก็ไม่ง่ายอย่างที่เราคิด มาดูกันดีกว่าคนเล่นเกมเขารู้สึกยังไงกับเรื่องนี้  และต้องบอกก่อนว่านี่เป็นเพียงความเห็นเพียงมุมเดียวเท่านั้นไม่ใช่มุมมองทั้งหมดของคนเล่นเกมรู้สึก จึงต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านและตีความด้วย ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมถังพอปคอร์นให้พร้อมแล้วเข้ามาดูเรื่องราวภาพยนตร์ที่สร้างเกมในมุมมองคนเล่นเกมกัน

การนำเกมมาทำเป็นภาพยนตร์มันไม่ง่ายแบบที่คิด

Monster Hunter

เรื่องแรกที่เราอยากให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวหรือรู้จักการสร้างภาพยนตร์เข้าใจก่อนว่า การเขียนบทคิดเนื้อเรื่องเกมการแต่งนิยายไปจนถึงการ์ตูนที่เราอ่านหรือการ์ตูนที่ดูทางทีวี มันมีระบบการลำดับเรื่องการเล่าเนื้อหาที่ต่างกัน เราจะยกรูปแบบจากเกมนิยายหรือในหนังสือการ์ตูนมาสร้างเป็นภาพยนตร์แบบเหมือนทั้งหมดมันก็ทำได้ แต่มันจะดูไม่รู้เรื่องและคนดูอาจจะไม่เข้าใจในเนื้อหา เพราะในนิยายกับในหนังสือการ์ตูนจะมีบทบรรยายการลำดับเนื้อที่จะใส่อะไรลงไปขนาดไหนก็ได้ แต่ในภาพยนตร์มันคือพื้นที่จำกัดซึ่งต้องรวบรัดให้ทุกอย่างเริ่มต้นและจบในเวลาชั่วโมงเศษ ๆ การใส่ทุกอย่างรายละเอียดทุกอันลงไปจึงทำไม่ได้ จึงต้องมีการตัดหรือแก้ไขรายละเอียดต่าง ๆ ในเกมออกไป และแต่งบางส่วนขึ้นมาใหม่เพื่อให้เรื่องราวมันสมเหตุสมผลหรือเข้ารูปตามที่ภาพยนตร์ควรเป็น เราจึงได้เห็นภาพยนตร์ที่สร้างออกมาไม่ตรงกับเนื้อหาในเกม แต่นักเล่นเกมหลายคนก็คงจะสงสัย ถ้าแบบนั้นไม่สร้างทุกอย่างให้เหมือนเกมไปเลยไม่ได้หรอ คำตอบคือได้แต่มันมีรายละเอียดแยกย่อยลงไปอีกหลายอย่างที่เราจะอธิบายต่อไปจากนี้

Resident Evil

การเล่าเรื่องที่ให้คนไม่ได้เล่นเกมเข้าใจและต้องทำให้คนที่เล่นเกมชอบ

Warcraft

อีกหนึ่งเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ที่คนเขียนบทผู้กำกับต้องคิดหนัก กับการสร้างภาพยนตร์จากเกมที่ต้องทำให้คนที่ไม่รู้จักเกมดูได้สนุก แต่ก็ต้องให้คนที่เล่นเกมชื่นชอบด้วยมันเป็นไปได้ยาก เพราะถ้าเราเลือกฝั่งไหนอีกฝั่งก็จะเสียลูกค้าไปในทันที หรืออาจจะถูกฝั่งใดฝั่งหนึ่งด่าจนเสียชื่อผู้กำกับทีมงานการผลิตไปจนถึงนักแสดงเลย ดังนั้นผู้กำกับจึงต้องเลือกว่าจะเอาส่วนไหน ซึ่งส่วนมากทางผู้ผลิตก็จะพยายามทำมันทั้งสองอย่าง แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีตรงกลางจนต้องไปอยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งอยู่ดี อย่างภาพยนตร์เรื่อง Warcraft ที่ฉายในปี 2016 ที่ทางทีมผู้กำกับเลือกฝั่งคนเล่นเกม กับการสร้างเนื้อเรื่องใส่เนื้อหาในเกมลงไปอย่างมากมายจนคนที่เล่นเกมชื่นชอบ แต่คนที่ไม่ได้เล่นเกมพอได้ดูกลับงงว่าอันนี้คือใครคนนี้เป็นอะไรทำไมคนนี้ทำแบบนี้ แทนที่จะได้ดูสงครามแฟนตาซีแบบ The Lord of the Rings กลับมาได้ดูเรื่องราวตัวละครมากมาย กับเนื้อหาที่มีแต่คนเล่นเกมที่เข้าใจใส่มาเยอะจนกลายเป็นภาพยนตร์ที่คว่ำไป หรือจะเลือกฝั่งคนที่ไม่รู้จักเกมมาดูอย่าง Resident Evil ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะคนที่ไม่เคยเล่นเกมต่างบอกว่าเรื่องนี้สนุก แต่คนเล่นเกมต่างสาปแช่งกันจนถึงทุกวันนี้ว่ามันไม่ใช่  Resident Evil  แบบที่คนเล่นเกมต้องการ

Warcraft

ผู้กำกับคนเขียนบทที่รู้จักเกมนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง

Monster Hunter

หนึ่งในปัญหาหลักที่คนเล่นเกมบ่นกันเมื่อได้เห็นชื่อผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง Paul W S Anderson ที่มีผลงานสร้างภาพยนตร์จากเกมอย่าง Mortal Kombat,  Resident Evil, Death Race และ Monster Hunter หรือ Uwe Boll ผู้กำกับที่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่คนที่ดูภาพยนตร์จะรู้จักเขาเป็นอย่างดี กับผลงานภาพยนตร์ที่มาจากเกมอย่าง House of the Dead, BloodRayne, FarCry และ Alone in the Dark ที่เมื่อเห็นรายชื่อภาพยนตร์ที่ทั้งคู่สร้างมาแล้ว ใครที่เคยดูภาพยนตร์เหล่านี้มาแล้วต่างก็คงจะส่ายหัวแรง ๆ เพราะถ้าไม่ติดชื่อจากเกมหรือเราเข้าไปดูภาพยนตร์โดยที่ไม่รู้เลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ชื่อเรื่องอะไร ก็คงจะเป็นภาพยนตร์ที่สนุกมาก ๆ (ของ Uwe Boll อาจจะไม่สนุก)  แต่เมื่อมันถูกสร้างมาจากเกมคนสิ่งที่คนเล่นเกมได้คือมันเกี่ยวอะไรกับเกมตรงไหน ซึ่งฝั่ง Paul W S Anderson ยังพอมีกลิ่นอายฉากตัวละครในเกมบ้าง แต่สำหรับ Uwe Boll นั้นเราต้องมานั่งคิดตามเลยว่ามันมาจากเกมตรงไหนกันเลยทีเดียว(แนะนำสำหรับคนที่ไม่เคยดูไปหามาดูแล้วคุณจะเข้าใจ) นั่นก็เพราะผู้กำกับคนเขียนบทไม่รู้จักเกมเหล่านั้นดีพอ หรืออาจจะศึกษามาไม่มากพอ แค่ลองเล่นเกมศึกษาเนื้อเรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เขียนบทสร้างเป็นภาพยนตร์ออกมา จนกลายเป็นว่ามันสนุกในฐานะภาพยนตร์แต่มันไม่สนุกในฐานะภาพยนตร์ที่มาจากเกม จนหลายคนถึงกับพูดว่าถ้า Resident Evil ไม่ใช้ชื่อ Resident Evil ภาพยนตร์คงไม่ถูกด่าแถมได้รับคำชมในฐานะภาพยนตร์ซอมบี้ที่สนุกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ส่วน House of the Dead ต่อให้แปะหรือไม่แปะชื่อเกมลงไปมันก็คือหนังซอมบี้สุดห่วยที่เราไม่แนะนำให้คุณไปดู

House of the Dead

ให้ผู้พัฒนาเกมมาสร้างเองเลยแบบนั้น

Final Fantasy The Spirits Within

ถ้าเป็นแบบนั้นก็ให้ทีมพัฒนาที่สร้างเกมมาสร้างภาพยนตร์เองเลยจะได้ไม่ต้องมาบ่นกัน ต้องบอกเลยว่ามีหลายเรื่องที่ค่ายเกมออกมาสร้างภาพยนตร์จากเกมตัวเอง ยกตัวอย่างก็มี Final Fantasy The Spirits Within ในปี 2001 ที่สร้างโดยค่ายเกมอย่าง Square และมี Hironobu Sakaguchi ผู้ให้กำเนิดเกม(ย้ำอีกครั้งว่าเขาคือผู้ให้กำเนิดเกมซีรีส์ Final Fantasy) นั่นก็หมายความว่าเขาต้องรู้จักเกมนี้ดีที่สุด แต่ผลที่ออกมาคือความล้มเหลวที่แม้แต่คนที่เล่นเกมมาดูต่างก็ส่ายหน้า เพราะตัวภาพยนตร์ไม่มีความเป็น Final Fantasy เลย เอาง่าย ๆ ที่คุณคิดว่ามันจะมีในภาพยนตร์ Final Fantasy The Spirits Within มันไม่มีเลยในภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากตัวละครที่ชื่อ Cid หรืออีกเรื่องที่มาจากค่ายเกมทำเองเช่นกันอย่าง Resident Evil ที่ในภาคแรก Resident Evil Degeneration นั้นทำออกมาได้ดีได้รับเสียงชื่นชมจากคนดูที่รู้จักและไม่รู้จักเกมนี้ก็ดูสนุกได้ แต่พอมาภาค 2 Resident Evil Damnation เนื้อหาก็ออกจะไม่ใช่ Resident Evil แต่ก็ยังพอรับไหว แต่พอมา Resident Evil Vendetta คือโดนด่าเละเพราะมันไม่ใช่ Resident Evil อย่างที่มันควรเป็น ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นการยืนยันได้ว่าบางทีค่ายเกมเองมาสร้างภาพยนตร์เองมันก็ใช่ว่าจะดีหรือสนุก

Resident Evil Vendetta

ถ้าแบบนั้นก็เอาแบบกลาง ๆ ให้บริษัทหรือทีมพัฒนาเกมมามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่

Sonic the Hedgehog

หรือจะเป็นแบบตรงกลางคนละครึ่งไหม อย่างให้ผู้กำกับกับทีมสร้างเกมมาช่วยกันเพื่อให้ภาพยนตร์มีกลิ่นอายเกมให้มาที่สุดจนแฟน ๆ พอใจ อันนี้ก็มีเกิดขึ้นมาบ้างแต่น้อยถึงน้อยมาก ๆ ที่จะเกิดขึ้น เพราะอย่าลืมว่าฝ่ายพัฒนาเกมเองก็หัวหมุนทำเกมไม่ทันวันวางจำหน่ายอยู่แล้ว จะมีเวลามาให้คำปรึกษาบินไปดูที่ถ่ายทำหรือประชุมแผนนงานเรื่องภาพยนตร์อีกหรอ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นอย่าง Monster Hunter ที่ Paul W S Anderson ลงทุนบินไปให้ทีมงานพัฒนาเกม Monster Hunter World ดูรายละเอียดของตัวสัตว์ต่าง ๆ ในเรื่องเพื่อความสมจริงจะได้ไม่โดนนักเล่นเกมออกมาบ่น แต่พอตัวอย่างของภาพยนตร์ออกมาปรากฏว่า Rathalos กลับตัวใหญ่เกินไปกว่าในเกมเสียอย่างนั้น นี่ยังไม่นับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการใช้ท่าในเกมการพกอาวุธ 2 ชิ้นที่มันทำไม่ได้ในเกม ที่ทางทีมงาน Capcom ไม่ท้วงติงบ้างหรอที่เห็นอะไรแบบนั้น จนเมื่อภาพยนตร์ออกมาก็เป็นอย่างที่เห็นคือโดนแฟนเกมด่าเละ ส่วนคนไม่ได้เล่นเกมบอกดูสนุก แต่การร่วมมือที่ออกมาดีและสนุกก็มีอย่าง Detective Pikachu ที่อ้างอิงเรื่องราวจากเกมในชื่อเดียวกันมาใส่ได้อย่างลงตัว ขณะที่ Sonic the Hedgehog ในตอนแรกทางทีมสร้างภาพยนตร์สร้าง Sonic ออกมาโดยไม่ปรึกษาทาง Sega จนออกมาเป็น Sonic ที่แฟน ๆ ร้องยี้ จนทางทีมงานต้องกลับไปแก้ไขทั้งหมดและขอคำแนะนำจากทีมพัฒนา Sega ให้มาช่วยจนออกมาเป็นSonic ที่เราชื่นชอบตอนนี้

Detective Pikachu

ตัวละครในเกมที่ถูกเปลี่ยนเพศหรือสร้างตัวละครใหม่แทนตัวเอกในเกม

Resident Evil

อีกหนึ่งสิ่งที่คนเล่นเกมมักจะขัดใจเมื่อเกมที่เรารู้จักมีตัวเอกเป็นคนนี้ แต่พอมาเป็นฉบับภาพยนตร์กลับเปลี่ยนตัวเอกเป็นตัวละครใหม่ที่ไม่มีในเกม แถมยังเล่าเรื่องใหม่การเดินทางใหม่ที่อยู่ในฉากเนื้อหาของเกมอันนี้ยังพอเข้าใจได้ เพราะในซีรีส์เกมมักจะทำขึ้นมาบ่อย ๆ กับภาคเสริมหรือเรื่องราวก่อนเกม ซึ่งมีน้อยมากที่จะทำเท่าที่คิดออกก็มี House of the Dead กับ Street Fighter The Legend of Chun-Li ที่เล่าเรื่องราวก่อนเกม  แต่ที่เราเจอก็มักจะเป็นการสร้างตัวละครใหม่ขึ้นมา แล้วจับยัดลงไปในเนื้อเรื่องของเกมอย่าง Monster Hunter หรือ Resident Evil ซึ่งมันดูขัดดูไม่เข้าพวกแถมยังเอาตัวเอกประจำภาคมาเป็นตัวประกอบ หรือที่หนักไปกว่านั้นคือการเปลี่ยนเพศไปเลยอย่าง Silent Hill ภาคแรก ที่เกือบทุกอย่างในภาพยนตร์นั้นทำออกมาดีทั้งเนื้อเรื่องหาเรื่องราวโดยรวม(แต่ก็ยังไม่ดีพอที่คนเล่นเกมจะพอใจ) แต่สิ่งที่ขัดใจที่สุดของเรื่องนี้คือการเปลี่ยนเพศจากผู้ชายตามหาลูกมาเป็นผู้หญิง ซึ่งถ้ามองในแง่ของบทภาพยนตร์การเอาผู้ชายไปสู้กับสัตว์ประหลาดมันดูจะไม่น่าสนใจเท่าผู้หญิง ที่ดูอ่อนแอไร้ทางสู้จะทำให้คนดูลุ้นกว่าเป็นตัวละครผู้ชาย จนมาภาค 2 ที่ตัวภาพยนตร์ใช้ตัวละครผู้หญิงตามในเกม แต่เนื้อเรื่องเนื้อหากลับเปลี่ยนจนไม่สนุก เพราะใน Silent Hill 2  นั้นแทบไม่มีอะไรตรงในเกมเลยนอกจากตัวนางเอก ซึ่งในตัวอย่างแรกนั้นตัวภาพยนตร์อ้างอิงในเกมเยอะมาก ดูได้จากฉากที่ตัวเอกรับโทรศัพท์และเสียงปลายสายพูดว่า Happy Birthday แค่นี้ก็ขนลุกแล้ว แต่พอมาในฉบับจริงกลับถูกเปลี่ยนไปหมด จนแฟน ๆ คนเล่นเกมออกมาบ่นกันทั้งที่ภาคแรกทำออกมาได้ดีแท้ ๆ

Silent Hill

แต่งเรื่องขึ้นมาใหม่ไม่เกี่ยวกับเกมแต่ใช้ตัวละครในเกม

The King of Fighters

ถ้าการสร้างเรื่องราวจากเกมมันมีข้อจำกัดเยอะ แบบนั้นก็สร้างเรื่องราวขึ้นมาใหม่เลยแล้วจับตัวละครในเกมมายัดลงไปก็หมดเรื่อง ซึ่งมันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับเรื่อง The King of Fighters ที่ฉายในปี 2010 หรือ Tekken ที่ฉายในปี 2009 ไปจนถึง Street Fighter ในปี 1994 และ Dead or Alive ในปี 2006 รวมถึง Super Mario ในปี 1993 ที่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยไม่อ้างอิงเค้าโครงเนื้อหาเรื่องราวหรืออะไรที่เกี่ยวกับในเกมมาเลยนอกจากตัวละคร ซึ่งผลที่ออกมาก็คือความเกลียดชัง(นักเล่นเกมต่างประเทศใช้คำแรงกว่านี้) ที่คนเล่นเกมไม่ชอบ เพราะแทนที่จะมีกลิ่นอายของเรื่องราวบ้างแต่นี่กลับบิดเบือนไปจนมั่วไปหมด ยกอย่าง The King of Fighters, Dead or Alive กับ Tekken  ที่เปลี่ยนเนื้อเรื่องไปเป็นแค่การต่อสู่ทั่วไป กับเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเกมเลย แถมตัวละครยังถูกเปลี่ยนบทเปลี่ยนเนื้อหาเหมือนเอาใครก็ไม่รู้มาเปะชื่อตัวละครลงไป หรือหนักหน่อยอย่าง Street Fighter ที่เปลี่ยนเนื้อหาอย่างที่ว่ามาแล้วยังตัวพระเอกไปด้วย และที่หนักสุดก็คือ Super Mario ที่จะทำให้คุณฝันร้ายไปตลอดกาลถ้าคุณรักในตัว Mario (ถ้าคุณคิดว่าเราพูดเกินจริงแนะนำให้ไปหามาดูครับแล้วคุณจะรู้ว่าเราพูดจริง)

Dead or Alive

แต่งเนื้อเรื่องก่อนเกมเพื่อลดปัญหาทั้งหมดที่ว่ามา

Street Fighter The Legend of Chun-Li

ต่อเนื่องมาจากหัวข้อที่แล้วถ้าการเปลี่ยนเนื้อเรื่องทั้งหมดใหม่ แต่ใส่ตัวละครในเกมลงไปแล้วโดนด่ายับ ถ้าอย่างนั้นก็ทำแบบเดียวกันแต่เป็นเนื้อเรื่องก่อนเกมไปเลยเพื่อตัดปัญหา ซึ่งก็มีหลายเรื่องที่ทำแบบนี้ อย่างที่เราได้ยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้เช่น Street Fighter The Legend of Chun-Li ที่เล่าเรื่องราวของ Chun-Li ก่อนจะมาอยู่ในเกม  Street Fighter  ว่าเธอต้องผ่านอะไรมา ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ มันก็มั่วไปหมดทั้งการเปลี่ยนอายุตัวละครเปลี่ยนเนื้อหาตัวร้ายไปจนถึงเรื่องราวในเกมที่เล่ามาอีกอย่างกับภาพยนตร์ ตามด้วยเรื่อง House of the Dead ที่เชื่อว่าหลายคนที่ดูจบคงต้องงงว่าเนื้อเรื่องภาพยนตร์มันก่อนเนื้อเรื่องในเกมตรงไหน ก็ต้องบอกว่าเกี่ยวตรงที่พระเอกในภาพยนตร์คือตัวร้ายในเกมภาคแรก  นั่นก็หมายความว่าที่เราเห็นในภาพยนตร์คือเรื่องราวการสร้างเชื้อซอมบี้มรณะนั่นเอง หรือจะเอาที่ใหม่หน่อยอย่าง Angry Birds ที่เล่าที่มาที่ไปของสงครามระหว่างนกกับพวกหมูเขียวว่ามีที่มาอย่างไร กว่าจะเป็นสงครามยิงนกในเกมที่เราเล่น ซึ่งมันก็มีทั้งดีและไม่ดีขึ้นอยู่กับว่าเนื้อเรื่องจะเชื่อมกับเกมแนบเนียนขนาดไหนมากกว่า

Angry Birds

ภาพยนตร์ได้ใช้เค้าโครงเรื่องในเกมแต่บิดไปจนไม่เหลือเค้าเดิมของเกม

Tomb Raider

ถ้ามีการจัดอันดับเนื้อหาเกมที่สร้างเป็นภาพยนตร์แล้วถูกด่ามากที่สุด ก็คงจะเป็นการเอาเค้าโครงเรื่องในเกมมาบิดจนกลายเป็นเรื่องใหม่จนไม่เหลือเค้าโครงเรื่องเดิม ยกตัวอย่างก็คงจะเป็น Tomb Raider ในปี 2018 ที่ภาพยนตร์อ้างอิงเรื่องราวมาจากเกม  Tomb Raider ฉบับเกมในปี 2013 มาทำ ซึ่งตัวเกมภาคนั้นจัดว่ามีเนื้อเรื่องที่ดีน่าสนใจมาก ๆ กับการเปิดเรื่องที่เล่าแบบเป็นปริศนาของเกาะที่เต็มไปด้วยซากเรือกับผู้คนที่เหมือนจะเป็นบ้า แถมช่วงหลังเราจะได้เจอทหารญี่ปุ่นโบราณที่เฝ้าสุสาน กับเนื้อหาการเอาชีวิตรอดของ Lara ที่สนุกน่าติดตามทุกนาทีที่เราได้เล่น แต่พอเป็นภาพยนตร์ตัวหนังกลับยกมาแค่บางส่วนของเกมมาดัดแปลง และเพิ่มเนื้อหาลงไปจนมันไม่มีความสนุกเลย แบบเดียวกับที่  Silent Hill 2 ทำ ซึ่งถ้าทั้ง 2 เรื่องนี้ยึดเนื้อเรื่องในเกมมาทำมากกว่านี้คงจะได้รับคำชมแบบเดียวกับที่ Detective Pikachu ทำ ที่เรื่องนี้ดัดแปลงบิดเนื้อหาออกมาแต่ก็ยังคงอยู่ในการสืบสวนของเค้าโครงเรื่องเดิมที่ดัดแปลงออกมาได้น่าชื่นชม

Silent Hill 2

สร้างเนื้อเรื่องที่ต่อจากเกมไปเลยไม่ไม่ต้องสนใจคนที่ไม่เล่นเกม

Kingsglaive Final Fantasy XV

ถึงแม้ Warcraft ที่สร้างมาเพื่อเอาใจคนเล่นเกมอย่างเดียวจะคว่ำไม่เป็นท่า แต่ก็ยังมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่พยายามเข็นเรื่องราวที่เป็นภาคต่อจากเกมหรือเนื้อเรื่องก่อนเกมภาคต่าง ๆ ออกมา แต่ส่วนมากจะเป็นภาพยนตร์ CG ที่เป็นกราฟิกมากกว่าจะเป็นภาพยนตร์คนแสดง และพวกนี้มักจะฉายแบบจำกัดโรงหรือเน้นทำขายแฟน ๆ แบบไม่หวังผลกำไรมากมายแค่ไม่ขาดทุนก็พอ อย่าง Kingsglaive Final Fantasy XV ที่เป็นการเล่าเรื่องราวก่อนเกม Final Fantasy XV ที่หลายคนที่ไม่เคยเล่นเกมต่างงงว่าตอนท้ายคนที่เข็นรถคือใครทำไมออกมาตอนท้ายเรื่อง หรือจะเป็น Final Fantasy VII Advent Children ที่เล่าเรื่องราวหลังจากเกมภาคหลัก ไปจนถึง Resident Evil หลายภาคที่ทาง Capcom เข็นออกมาฉายทางโรงภาพยนตร์ ที่ในตอนแรกก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากคนเล่นเกม แต่ภาคหลัง ๆ ไม่ค่อยได้รับความนิยมเพราะตัวเองดันลืมจุดความสยองขวัญที่ควรจะเป็นไปเน้นที่ฉาก Action ที่แฟน ๆ ไม่ชอบ จนมาถึงภาคล่าสุดอย่าง Resident Evil Infinite Darkness ที่ดูเหมือนจะกลับไปเป็นแนวสยองอีกครั้งคงต้องรอดูว่าเรื่องนี้จะผ่านไหม และแน่นอนว่าคนที่ไม่เคยเล่น Resident Evil พอมาดูต้องงงแน่ ๆ ว่าอะไรคืออะไรเพราะเขาสร้างมาเพื่อเอาใจคนเล่นเกมนั่นเอง

Resident Evil

คนเล่นเกมไม่ได้เอาใจยากแค่มันไม่ใช่สิ่งที่คนเล่นเกมต้องการ

pixel

สำหรับคนที่ไม่ได้เล่นเกมพอมาอ่านมาทั้งหมด อาจจะคิดว่าคนเล่นเกมเรื่องมากเองรึเปล่า  เพราะภาพยนตร์เหล่านั้นก็ดูสนุกดีไม่ต่างกับภาพยนตร์ทั่วไป คนเล่นเกม(ทั่วโลก) ที่ได้ดูและไม่ชอบอคติไปเองรึเปล่า ซึ่งเราต้องถามกลับไปว่าคุณชอบเรื่องราวของอะไรบาง คุณอ่านนิยายไหม ? คุณดูการ์ตูนรึเปล่า ? ถ้าใช่และมีคุณรู้สึกอย่างไรเมื่อภาพยนตร์เอานิยายการ์ตูนที่คุณชอบหรือเคยอ่านมาทำเป็นภาพยนตร์ แล้วมันออกแย่ถึงแย่มาก ๆ แบบไม่มีความเป็นการ์ตูนหรือนิยายนั้นเลยนั่นคือสิ่งที่คนเล่นเกมรู้สึก คือเรื่องราวไม่ต้องเอามาจากเกมทั้งหมดก็ได้ เอามาแค่นิดหน่อยพร้อมตัวละครฉากเนื้อหาหลัก ๆ ก็พอ ยกตัวอย่างก็ Tomb Raider 2018 ที่ถ้าตัวภาพยนตร์ใช้เรื่องราวตามในเกม ที่เน้นไปที่ปริศนาความน่ากลัวว่าเกิดอะไรขึ้นบนเกาะ ว่าทำไมเรือถึงมาติดบนเกาะนี้ผู้คนที่เป็นบ้าเหล่านี้คือใคร ทหารญี่ปุ่นโบราณมาจากไหนผสมกับการเอาตัวรอดที่ในภาพยนตร์ใส่ก็คงจะดีกว่านี้ หรือ Silent Hill ที่ใช้เนื้อหาของเกมเกี่ยวกับการปลุกพระเจ้าการหลอกลวงพระเอกให้ทำตามที่ต้องการกับเหตุผลที่จับตัวลูกของพระเอกไป ถ้าในภาพยนตร์ใช้เรื่องราวในเกมมากกว่านี้ตัวภาพยนตร์จะดีกว่านี้มาก ๆ แต่ทางผู้กำกับกลับไม่ทำแบบนั้นแต่เลือกจะเรื่องขึ้นมาใหม่ และสุดท้ายก็ถูกด่ายับไปตามระเบียบ

Tomb Raider

สิ่งที่คนเล่นเกมอยากได้จากภาพยนตร์ที่มาจากเกม

Super Mario

จากหัวข้อที่แล้วหลายคนคงจะสงสัยว่าแล้วสิ่งที่คนเล่นเกมต้องการคืออะไร ? สิ่งที่คนเล่นเกมต้องการจากภาพยนตร์คือการใส่เนื้อหาประเด็นตัวละครฉากที่ตรงกับในเกม ซึ่งเราได้อธิบายไปในหัวข้อที่แล้วไปเรียบร้อย ซึ่งไม่ใช่การเหมือนกันทั้งหมด(แต่แบบนั้นได้ก็ดี) แค่เอาเค้าโครงเรื่องมาดัดแปลงแต่ยังคงเป็นกลิ่นอายของเรื่องนั้น ๆ ลงไปยกตัวอย่างภาพยนตร์จากเกมดี ๆ ก็มี Detective Pikachu ที่ตัวเกมกับภาพยนตร์นั้นไม่เหมือนกันเลยนอกจากแค่ตัว Pikachu แต่สิ่งที่เรื่องนี้ดีงามถูกใจแฟน ๆ ก็เพราะในเรื่องได้เอาเค้าโครงเรื่องการสืบสวนแบบในเกมมาใช้  รวมถึงการสร้างโลกฉากตัวละครที่เอากลิ่นอายจากเกม Pokemon ภาคอื่น ๆ มาใส่จนมันลงตัว หรือเรื่อง Sonic the Hedgehog ที่เอากลิ่นอายความเป็น Sonic มาใช้ได้อย่างลงตัวและนี่ละคือ Sonic ที่แฟน ๆ คนเล่นเกมรู้จัก หรืออีกเรื่องอย่าง Rampage ที่จับเนื้อหาของเกมมาใช้ได้อย่างถูกต้องกับปีศาจทำลายตึกตามเนื้อหาในเกม เห็นไหมว่าถ้าจับเนื้อหาของเกมได้ เราก็จะได้ภาพยนตร์ที่ถูกใจทั้งคนเล่นเกมและคนไม่เล่นเกมชอบได้

Rampage Sonic the Hedgehog

เกมที่มีรูปแบบคล้ายภาพยนตร์

Until Dawn

ถ้าการสร้างภาพยนตร์เป็นเกมมันยากนักก็ไปสร้างภาพยนตร์เป็นเกมเองเลยซิ อย่าท้าเชียวนะเพราะในวงการเกมนั้นก็มีเกมแนว Interactive Drama หรือเกมแนวสวมบทบาทที่ให้อารมณ์เหมือนการชมภาพยนตร์ ทั้งการตัดฉากเนื้อหาการลำดับเรื่องตัวละครความลึกของเนื้อหาฉาก เรียกว่าผู้กำกับสามารถเอาเกมเหล่านี้ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ได้เลย ยกตัวอย่างก็มี Until Dawn ที่เริ่มต้นเรื่องราวง่าย ๆ ของกลุ่มวัยรุ่นที่มาเที่ยวบ้านพักบนเขา ก่อนจะเจอฆาตกรโรคจิตที่จับมาเล่นเกมเอาชีวิตแบบ Saw ก่อนจะลงท้ายด้วยสัตว์ประหลาดที่ใส่]’,kได้อย่างลงตัว หรือจะเป็นแนวเสียดสีสังคมก็มี Detroit Become Human เรื่องของหุ่นยนต์ที่ถูกมนุษย์กระทำ แนวสืบสวนกับแนว Action ก็มีอย่างเกม Heavy Rain และ Beyond Two Souls ไปจนถึงภาคแยกมาจากซีรีส์เลยก็มีอย่าง The Walking Dead video game ถ้าคุณไม่รู้จักเกมเหล่านี้ลองไปหาดูตามช่อง YouTube เอาแล้วจะรู้ว่าเกมแนวภาพยนตร์มันทำได้และดีด้วย

Detroit Become Human 
 Heavy Rain

ภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมซึ่งจะฉายในปีนี้

Uncharted

และในปี 2021 ก็ยังคงมีเกมที่สร้างจากภาพยนตร์ และซีรีส์ออกฉายให้เราได้ดูตลอดทั้งที่ปี ที่เริ่มต้นไปแล้วกับ Monster Hunter ในเดือนมีนาคมก็จะมี Tomb Raider 2 ที่สานต่อเรื่องราวต่อจากภาคแรก ที่เรายังไม่แน่ใจว่าตัวภาพยนตร์จะเอาเนื้อหาในเกมมาหรือไม่ เพราะเรายังไม่เห็นตัวอย่างอะไรเลย ตามด้วยอีกเกมในเดือนเดียวกันก็มี Minecraft The Movie กับเรื่องราวของกลุ่มเด็ก ๆ ที่หลงเข้าไปใน Overworld โลกเหลี่ยม ๆ ของ Minecraft เดือนเมษายนกับ Sonic the Hedgehog Sequel ที่ในตอนท้ายของภาพยนตร์ก็ทิ้งปมเอาไว้แล้ว ต่อที่เดือนกรกฎาคมก็มี Uncharted ที่หลายคนต่างรอคอยและตั้งความหวังว่ามันจะสนุกตามแบบของเกม ในส่วนของซีรีส์ก็มี The Last of Us ที่เนื้อหาจะหยิบยกเรื่องราวเกมภาคแรกมาทำ คงต้องรอดูว่าจะสนุกลึกซึ้งกินใจแบบในเกมรึเปล่า ซึ่งนี่ก็เป็นแค่บางส่วนเท่านั้นเอาไว้มีโอกาสเราจะรวบรวมรายชื่อภาพยนตร์ที่จะฉายในปีนี้มาให้อ่านกันยังไงก็ติดตามกันได้

The Last of Us

รายชื่อเกมที่สร้างเป็นภาพยนตร์ที่เราอยากให้คุณไปหามาดู

Alone in the Dark

มาถึงหัวข้อสุดท้ายซึ่งเราก็เชื่อว่าหลายคนที่ได้อ่านบทความนี้คงจะไม่เคยดูภาพยนตร์หลายเรื่องที่เราบอกคุณไป เราจึงขอใช้เนื้อหาตรงนี้รวบรวมภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมที่คุณควรไปหามาดู(ย้ำว่าควรไปหามาดู) โดยเราได้คัดแล้วว่าคนที่เล่นเกมต้องดูให้ได้ เริ่มจากเรื่องแรกคือ House of the Dead, Alone in the Dark, Doom, Street Fighter The Legend of Chun-Li, Street Fighter,The King of Fighters,  Tekken, Dead or Alive และที่ห้ามพลาดที่เราอยากให้คุณดูที่สุดก็คือเรื่อง  Super Mario ไปหามาดูแล้วคุณจะเข้าใจว่านักเล่นเกมรุ่นเก่า เขาต้องพบเจอความเลวร้ายแบบนี้มาตั้งแต่อดีตแล้ว จนถึงตอนนี้มันก็ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ หรือถ้าคุณไม่ใช่คนเล่นเกมก็สามารถไปหามาดูได้แต่อาจจะรู้สึกต่างกับคนที่เล่นเกมเข้าใจ

Street Fighter
Alone in the Dark

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 15 เรื่องราวที่เราหยิบยกมานำเสนอ หวังว่าจะถูกใจคนที่เล่นเกมว่ารู้สึกอย่างไรในเรื่องนี้ โดยทั้งหมดที่เราเอามานำเสนอนั้นเป็นเพียงส่วนเดียวข้างเดียวของคนที่เล่นเกมรู้สึกเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่ครอบคลุมไปทุกอย่างกับความรู้สึกของคนเล่นเกม แต่เราก็พยายามหยิบยกทุกมุมเท่าที่คิดได้ออกมานำเสนอ โดยเป้าหมายของบทความนี้ก็คือการบอกให้คนที่ไม่ได้เล่นเกมเข้าใจถึงความรู้สึกของคนเล่นเกม ว่าเราต้องการหรือรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นภาพยนตร์จากเกมทำออกมาแล้วมันไม่ตรงตามในเกม เพราะคนเล่นเกมอย่างเรานั้นจะเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้าไปดูและสนับสนุนเพราะภาพยนตร์เหล่านั้น เพราะภาพยนตร์นั้นสร้างมาจากเกมที่เราเล่นและชื่นชอบ และในฐานะคนดูเราจึงมีสิทธิ์วิจารณ์สิ่งที่ชอบและไม่ชอบในภาพยนตร์นั้น และด้วยความที่คนเล่นเกมรู้จักเกมนั้น ๆ ดีเราจึงออกมาแสดงความเห็นที่ตรงกว่าคนที่ไม่ได้เล่นเกมจะรู้สึก และถ้าใครมีมุมมองความเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมอีกก็มานำเสนอกันได้เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองกัน ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส