Release Date
05/02/2021
ความยาว
136 นาที
Our score
9.0Space Sweepers
จุดเด่น
- มาตรฐานหนังเน้นซีจีที่อวดฮอลลีวูดได้ ผสมกับความจัดเจนในการเล่าดราม่าแบบน้อยได้มาก ที่เอามาเติมเส้นเรื่องตามสูตรสำเร็จ แล้วกลายเป็นช่วยหนังแอ็กชันตื่นตา ให้ตื่นใจไม่จืดทางอารมณ์ได้ลงตัว นักแสดงก็ดูดีเท่สวยหล่อดูเพลิน
จุดสังเกต
- หนังยาวไปนิด ย้วยไปหน่อย กับเล่นลีลาลูกเล่าเรื่องไม่ค่อยท้าทายนัก เดาง่ายทั้งเรื่อง
-
บท
8.0
-
โพรดักชัน
8.5
-
การแสดง
9.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
8.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
9.4
เรื่องย่อ: 3 มนุษย์ กับอีก 1 หุ่นยนต์ จอมขบถชายขอบของสังคมที่รวมตัวกันเป็นสลัดอวกาศล่าขยะมีค่าที่ลอยเท้งเต้งอยู่นอกโลกในปี 2092 แต่ความซวยมาเยือนเมื่อพวกเขาดันไปเก็บอาวุธระเบิดมหาประลัยในรูปของเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเข้าเสียได้ แต่เหมือนส้มหล่นเพราะมีองค์กรก่อการร้ายพร้อมจะจ่ายให้ไม่อั้นเพื่อแลกตัวเด็กน้อยคืน สุดท้ายกลายเป็นสงครามสาดแสงเลเซอร์กลางอวกาศเพื่อแย่งตัวแบบมะรุมมะตุ้มทั้งฝ่ายคนดีและคนชั่ว โดยมีเหล่านักเก็บกวาดขยะอยู่ตรงกลางรอเลือกข้าง ว่าจะเอาเงินหรือไม่ก็คุณธรรม
ถ้ามองว่าการพิชิตอวกาศคือหมุดหมายของประเทศมหาอำนาจทางเทคโนโลยีและการทหาร การที่อุตสาหกรรมหนังของประเทศใดจะประกาศศักดาก็ต้องเป็นการสร้างหนังไซไฟอวกาศโชว์ความอลังการด้วยเช่นกัน
ไม่นับฮอลลีวูดที่เป็นยักษ์ใหญ่ของโลกและมีหนังอวกาศฟอร์มใหญ่ให้ชมแทบทุกปี พี่จีนเองก็เพิ่งประกาศศักดาไปกับหนัง The Wandering Earth (2019) เพื่อตีตื้นฝั่งตะวันตก ยิ่งฝั่งญี่ปุ่นที่สร้างหนังไซไฟแนวเอเชียมาก่อนชาวบ้านชาวช่อง ในช่วงใกล้ ๆ นี้ก็มีหนัง Space Battleship Yamato (2010) ออกมาผงาด ชนิดที่เอา สตีเวน ไทเลอร์ นักร้องนำวง Aerosmith มาร้องเพลงประกอบก็ทำมาแล้ว และ Space Sweepers เองก็พูดได้เต็มปากว่ามีความสำคัญในระดับหนังที่ว่ามาเช่นกัน
หนังเป็นฝีมือของผู้กำกับ โจซองฮี ที่เคยมีผลงาน A Werewolf Boy (2012) ร่วมกับพระเอกดัง ซงจุนกิ เข้าฉายในบ้านเราเมื่อหลายปีก่อน ทว่าเอาจริงแล้วตัวเขาก็มีงานที่น่าจับตามองตั้งแต่ตอนทำหนังสั้นเรื่องแรก แล้วคว้ารางวัลจากเมืองคานส์กลับบ้านสำเร็จ ในหนัง Don’t Step Out of the House (2009)
นับเป็นอีกคนหนังของเกาหลีที่ช่วยขับอุตสาหกรรมได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะความทะเยอทะยานในการริเริ่มสร้าง Space Sweepers นี่ล่ะ คือหมุดหมายว่าหนังบันเทิงเกาหลีพร้อมจะเอา “โคเรียวูด” ไปชนฮอลลีวูดได้แล้วหรือยัง หลังจากด้านคุณภาพหนังรางวัลนั้นเกาหลีเพิ่งชนะออสการ์มาหมาด ๆ จากหนัง Parasite ของ บงจุนโฮ
จุดที่หนังทำได้ดีตามมาตรฐาน อันจะขอกล่าวถึงก่อน คือการใส่รสปรุงที่เป็นเอกลักษณ์ของงานเกาหลีที่ว่า บทเด่นดราม่า เชิดหน้าชูตางานแสดง โดยการเลือกสร้างกลุ่มละครตัวนำที่น่าสนใจ ที่มีทั้งสาวแกร่งเกินหน้าผู้ชายอย่าง กัปตันจาง (คิมแทรี) นักขับยานหน้าตาดีแต่ยาจกที่มีปมอดีตสุดดราม่าอย่าง แทโฮ (ซงจุนกิ) ช่างเครื่องนักเลงหัวไม้แต่ใจดีอย่าง ไทเกอร์พัค (จินซอนคยู) และหุ่นยนต์ปากกวนอวัยวะอย่าง บั๊บ (ยูแฮจิน) ถึงแม้จะดูแตกต่างกันมาก แต่ก็สามารถเอามารวมกลุ่มกันได้เคมีลงตัวมาก ๆ และความเก่งคือเป็นการเลือกตัวแทนของคนชายขอบหลายแบบ ที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ คือการให้เจ้าหุ่นบั๊บแทนกลุ่มทรานส์เจนเดอร์ที่ไม่ค่อยได้เห็นในงานแมสของเกาหลีบ่อยนัก
และแต่ละตัวละครก็มีปมอดีต หรือปมดราม่าของตัวเองที่ไม่มากไม่น้อย พอให้ประคองไปกับเรื่องได้ไม่ไร้รสชาติ อย่างตัวพระเอกที่มีปมเรื่องลูกสาวก็สามารถใช้แฟลชแบ็กราว ๆ 5 นาที แต่เล่าได้จับใจคัดมาเน้น ๆ แล้วไม่ต้องยืดเยื้อ แต่เอามาใช้เกลาตัวละครแทโฮนี้ได้ทั้งเรื่องเลย พวกรายละเอียดในบทเล็ก ๆ น้อยแต่ได้ผลมากนี้ล่ะ ที่น่าสนใจ น่าเอาแบบอย่างมากทีเดียวสำหรับงานบันเทิงไทย
จุดที่ทำได้ดีเกินคาด ไปพอสมควร ก็คืองานโพรดักชันที่รู้อยู่แล้วว่าต้องจัดเต็ม ซีจี โมชันแคปเจอร์ เอฟเฟกต์ พร็อป ฉาก คอสตูม เพราะเห็นบางส่วนมาจากเทรลเลอร์แล้ว ทว่าหนังจริงก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนอ่อนข้อ เพราะตลอดความยาว 2 ชั่วโมงหน่อย ๆ หนังไม่มีดรอปมาตรฐานเลย มีหลุดเล็กน้อยบางช็อตเท่านั้นที่ยังหลอก ๆ ตา
แต่โดยรวมต้องยอมรับจริง ๆ ว่านี่คืองานเอาไปโม้เอาไปกระทบไหล่หนังบล็อกบัสเตอร์ได้เลยทีเดียว ขนาดว่าดูผ่านจอทีวียังรู้สึกได้ ไม่ต้องคิดว่าถ้าได้ฉายในโรงจะเพิ่มอรรถรสภาพกับเสียงไปได้อีกเท่าไร น่าเสียดายว่าพิษโควิด-19 ทำให้อดชมในโรง แต่ก็ดีในร้ายที่หนังได้ลงเน็ตฟลิกซ์ดูพร้อมกันทั่วโลกแทน
จุดที่คิดว่าน่าจะเฉย ๆ แล้วก็ตามคาด นั่นก็คือ เส้นเรื่องภาพรวมที่เดาไว้ว่าคงตามสูตรหนังแอ็กชันที่ไม่ได้ซับซ้อนแหวกแหกตาอะไร ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นหนังเล่าในแบบที่ซ้ำ ๆ กับพล็อตแนวนี้ในหนังเรื่องอื่น เราเดาจุดพลิก จุดหักมุม เดาตัวร้าย คนดีได้หมด แม้แต่มุกไฮไลต์ของเรื่องว่ากันตามตรงก็ไม่ได้เกินคาดอะไร
แต่มองในแง่ความฉลาดของการคุมงานใหญ่ที่ไม่คุ้นมือ ก็มองได้ว่าผู้กำกับเองก็ฉลาดที่จะเลือกยากเป็นบางอย่างไป เมื่อโพรดักชันเป็นโจทย์ใหญ่ยากมากแล้วจะไปดึงความซับซ้อนการเล่าเรื่องมาให้ลำบากอีก หนังจะออกทะเลเละเทะกันไปได้ แต่ก็นั่นล่ะพอว่าตามสูตรล้วน หนังความยาว 2 ชั่วโมงเลยมีหลายช่วงที่เฉย ๆ กับมันไปด้วย ยังดีว่ามุกชวนยิ้ม มุกดราม่ายังทำงานอยู่ตลอด หนังเลยไม่จืดทางอารมณ์
จุดที่คิดว่ายังทำได้ไม่ดี ก็มาจากความยาวหนัง 2 ชั่วโมงกว่านี่ล่ะ สังเกตได้ว่าหนังมีบางฉากที่ลากเกินจำเป็น เข้าใจเองว่าผู้กำกับคงออกอาการเสียดายของ เพราะลงทุนไปเยอะ เลยอัดใส่ฉากที่ถ่ายเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งถ้าเป็นมาตรฐานหนังสเกลนี้แนวนี้ของตะวันตก น่าจะหั่นฉากลงไปอีกเพื่อความลีนของหนัง ได้ความกลมกล่อมพอดีกว่านี้
ในขณะที่ฉากเยอะไป ช็อตที่ประกอบสร้างฉากเองก็ดูน้อยไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าถ่ายมาน้อย แต่ให้เวลากับมันน้อย ชัดมากในฉากแอ็กชันที่ตัดไว แต่ไม่ได้ไวเพื่อผลทางอารมณ์เร้าใจ แต่ไวเพื่ออัดช็อตที่ถ่าย ๆ มาให้ได้เยอะ ๆ ให้คุ้ม ๆ เลยเหลือเป็นช็อตแว้บ ๆ ไว ๆ เพื่อให้หนังไม่ยาวเกิน กลายเป็นบางฉากดูไม่ทันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไปเสียอย่างนั้น แต่โดยรวมก็เสียจริง ๆ แค่บางฉากสั้น ๆ โดยรวมถือว่าการเล่ายังเคลียร์อยู่มาก
โดยสรุป อาจยังไม่ใช่หนังที่ชื่นชมได้แบบอวยสุดลิ่ม แต่เราได้เห็นความสามารถศักยภาพของหนังเกาหลีว่าไปฟัดกับโลกได้จริง ๆ ไม่ว่าจะตระกูลหนังล่ารางวัล หรือตอนนี้หนังบันเทิงซีจีแบบเต็มสูบ ที่ขนาดว่าลองตั้งไข่ในเรื่องนี้ ยังทรงดีมาก ๆ ถ้าอุตสาหกรรมหนังเกาหลีต่อยอดได้จริงจัง เราจะเห็นหนังไซไฟ หนังอวกาศที่ดราม่าเข้ม ๆ สไตล์เกาหลี เต็มทั้งตา ตรึงทั้งใจ
เมื่อนั้นล่ะหนังเกาหลีจะเบียดขึ้นแนวหน้าของหนังตระกูลไซไฟ ที่มหาอำนาจภาพยนตร์ฝั่งตะวันตกครองที่นั่งมายาวนานก็เป็นได้ สำหรับเรื่องนี้ หนังสนุกดี ชมได้เพลินมาก ๆ ครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส