Release Date
18/03/2021
Run Time
242 Minutes
Director
Zack Snider
Casts
Henry Cavill, Ben Affleck, Gal Gadot
Our score
8.1[รีวิว] Zack Snyder’s Justice League – 4 ชั่วโมงสำหรับแฟนเดนตายฮีโรดีซี
จุดเด่น
- เรื่องราวของตัวละครฮีโร่อย่าง The Flash Zyborg หรือ Aquaman กระจ่างขึ้นและหลุดจากสถานะตัวประกอบเหมือนในหนังเวอร์ชันก่อน
- ฉากแอ็กชันตื่นตาตื่นใจ ถูกใจสาวกหนัง แซ็ก สไนเดอร์ มากขึ้น โดยเฉพาะงานวิช่วลเน้นภาพสโลว์โมชัน
- ตัวหนังสมบูรณ์ขึ้นจากฉากที่เพิ่มเข้ามา
จุดสังเกต
- บางจุดก็ยังรู้สึกว่าหนังเยิ่นเย้อเกินไป พอมีเวลาในการเล่าเรื่่องมากขึ้นหากคนดูใจร้อนอาจดูไม่จบได้
- อัตราส่วนภาพของหนังเป็น 1.33:1 เพราะใช้กล้อง IMAX ถ่ายเวลาดูบนจอเล็ก ๆ เลยเกิดเป็นขอบดำซ้ายขวาให้ความรู้สึกไม่เต็มตาเท่าไหร่
-
ความลงตัวของบทภาพยนตร์
7.5
-
คุณภาพงานสร้าง
7.5
-
คุณภาพนักแสดง
9.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
8.5
-
ความคุ้มค่าเวลาในการติดตามชม
8.0
คงจำกันได้ว่าสาเหตุที่ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) ต้องถอนตัวออกจากโปรเจกต์ ‘Justice League’ เวอร์ชันฉายโรงปี 2017 เพราะการจากไปของ ออทัมน์ สไนเดอร์ (Autumn Snyder) ลูกสาวของเขา ที่ทำอัตวินิบาตกรรมจากโรคซึมเศร้า สไนเดอร์เลยขอกลับไปใช้เวลาอยู่กับครอบครัวพร้อมด้วยเดบอราห์ สไนเดอร์ (Deborah Snyder) ภรรยาของเขาก็ถอนตัวจากการเป๋็นโปรดิวเซอร์หนังในคราวนั้นด้วย
หลังจากหนังที่ทางวอร์เนอร์จ้างจอส วีดอน (Joss Whedon) ผู้กำกับหนัง ‘Avengers’ ของมาร์เวลมาสานต่องานและถ่ายแก้ใหม่โดยไม่ได้รับเครดิตผู้กำกับผลลัพธ์ก็ออกมาใกล้เคียงกับหายนะที่สเตปเพนวูล์ฟ (Steppenwolf) ตัวร้ายของหนังได้ก่อไว้นั่นแหละคือมันออกมาเร่งรีบและดูเป็นหนังฮีโรขายความบันเทิงประหนึ่งหนังมาร์เวลที่เอาตัวละครดีซีไปปู้ยี่ปู้ยำจนแฟนหนังดีซีหลายคนรับไม่ได้เลยเกิดการเรียกร้องผ่านแคมเปญ #Releasethesnydercut
เพื่อให้ทางวอร์เนอร์นำฉบับที่สไนเดอร์ตั้งใจทำแต่แรกออกฉายเพื่อล้างตาแฟน ๆ และด้วยผลตอบรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเสียงเรียกร้องก็ได้ผล คุณพ่อและแม่แห่งบ้านสไนเดอร์รวบรวมพลังจากหัวใจที่แตกสลายกลับมาสานต่องานชิ้นนี้เป็นหนังรวมฮีโรความยาว 4 ชั่วโมงแบ่งเล่าเป็น 5 บทที่ตอบโจทย์ทั้งวิสัยทัศน์และความต่อเนื่องในซีรีส์หนังดีซีได้อย่างยอดเยี่ยมและสิ่งที่หลายคนอยากรู้ที่สุดคงหนีไม่พ้นว่าฉบับนี้มีอะไรต่างจากเดิมบ้างเรารวบรวมมาให้แล้วครับ
เรื่องราวของ ไซบอร์ก หรือ วิกเตอร์ สโตน
ท่ามกลางโครงเรื่องหลักว่าด้วยการรวมพลังฮีโรต่อกรกับสเตปเพนวูล์ฟที่หนังก็เดิมตามฉบับเดิมแบบแทบไม่ผิดกลิ่นแล้วความต่างของหนังที่เห็นชัดเจนก็หนีไม่พ้นการบอกเล่าเรื่องราวของตัวละครที่ละเอียดกว่าฉบับออกฉายโรงนี่แหละครับ ถ้าจำกันได้ในเวอร์ชันก่อนเราจะรู้แค่ว่าไซบอร์กมีปมเรื่องร่างกายตัวเองและสูญเสียคุณแม่สุดที่รักไปผ่านการบอกเล่าเท่านั้น
แต่ฉบับนี้เราจะได้เห็นทั้งฉากแฟลชแบ็กที่น่าเจ็บปวดไม่น้อยและที่จี๊ดยิ่งกว่าคือปมพ่อลูกที่หนังบอกเล่าได้ลึกซึ้งมากผ่านพรอปอย่างเครื่องอัดเทปที่กลายเป็นตัวพิสูจน์หัวใจของตัวละครที่ดูหนีห่างจากความเป็นมนุษย์ขนาดนี้ และที่สำคัญคือเราจะได้เห็นเลยว่าที่แซ็ก สไนเดอร์บอกเราว่าเรย์ ฟิชเชอร์ (Ray Fisher) ได้ถ่ายทอดหัวใจของตัวละครนี้ออกมาอย่างยอดเยี่ยมนั้นไม่เกินความจริงเลย
เดอะแฟลชและฉากโชว์พลังสุดโรแมนติก
เช่นเดียวกันกับตัวละครไซบอร์ก เรื่องราวของเดอะแฟลชที่ถูกบอกเล่าในหนังฉบับนี้จะละเอียดกว่าเดิมเพียงแต่อาจจะไม่ได้มีข้อมูลใหม่ ๆ มากนักเพราะใครดูซีรีส์ ‘The Flash’ มาแล้วก็พอทราบว่าแบรี อัลเลน (Barry Allen) มีพ่อติดคุกและเขาทำทุกทางเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และมอบอิสรภาพให้คนที่เขารักแต่กระนั้นด้วยความที่หนังใช้ตัวละครคนละชุดกับซีรีส์มันเลยน่าสนใจไม่น้อยที่มันเผยตัวละครสำคัญอีกตัวอย่าง ไอริส เวสต์ (Iris West) ที่รับบทโดยเคียร์ซี เคลมอนส์ (Kiersey Clemons)
โดยในซีนดังกล่าวหนังถ่ายทอดออกมาได้น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเมื่อ อัลเลน ต้องไปสมัครงานที่ร้านรับดูแลสุนัขแต่หลังจากพบ เวสต์ สาวสวยหน้าหวานได้ไม่นานก็มีรถบรรทุกเสียการควบคุมกำลังพุ่งมาชนเธอแต่ด้วยความเร็วระดับความไวแสง อัลเลนเลยช่วยเธอไว้พร้อมกับได้ชื่นชมความสวยและตกหลุมรักสาวเจ้าเข้าอย่างจัง
และแน่นอนว่าพอเรามีโอกาสได้เห็นเอซรา มิลเลอร์ (Ezra Miller) ในบท แบรี อัลเลน มากขึ้นพลังนักแสดงอันเหลือล้นก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเต็มที่มีช่วงที่ทำให้เราต้องลุ้นเอาใจช่วยไม่เหมือนเวอร์ชันฉายโรงที่ดูเป็นตัวประกอบมาก ๆ สิ่งที่น่าเสียดายคงมีเพียงเรื่องราวส่วนอื่นในชีวิตแบรี อัลเลนที่ถูกเล่าแค่พอเป็นน้ำจิ้มเฉย ๆ ทั้งพ่อติดคุกและเรื่องสาวคนรักที่ยังไม่มีการสานต่อในหนังคงต้องไปลุ้นเอาในหนัง ‘The Flash’ ที่จะฉายในอนาคตอีกทีครับ
อ้อ..สำหรับรังของเดอะ แฟลช สิ่งที่หายไปคือเพลง “As If It’s Your Last” ของวงแบล็กพิงก์ (Blackpink) นะครับเวอร์ชันถูกเปลี่ยนให้เขาดูเป็นอัจฉริยะเปี่ยมสีสันมากกว่าสาวกเคพอป
อควาแมนกับเรื่องราวที่ต่อเนื่องแนบสนิทกับหนังเดี่ยว
อีกหนึ่งตัวละครที่มีหนังเดี่ยวไปแล้วอย่าง อควาแมน (Aquaman) หรืออาร์เธอร์ เคอร์รี เจ้าสมุทรนักบู๊ผู้มาพร้อมกับตรีศูลก็ได้รับการบอกกล่าวมากขึ้่นแต่ข้อมูลที่อยู่ในหนังอาจจะไม่ได้ใหม่แล้ว เนื่องจากเราได้ดู ‘Aquaman’ ไปตั้งแต่ปี 2018 แล้วเพียงแต่เมื่อเทียบกับ ‘Justice League’ ที่เป็นเวอร์ชันของวีดอนเราจะพบว่าฉบับของแซ็ก สไนเดอร์มีการปูพื้นเบื้องต้นว่าเหตุการณ์ในหนังจะคาบเกี่ยวกับหนังเดี่ยวของ ‘Aquaman’ จริง ๆ
โดยในเวอร์ชันนี้แม้จะยังไม่ได้เห็นคิงออร์ม ตัวละครของเจสัน แพตทริก (Jason Patrick) แต่จากการบอกเล่าของ วัลโก (Vulko) ตัวละครของวิลเลม เดโฟ (Willem Dafoe)ก็มีการกล่าวอ้างถึงการใฝ่อำนาจบาตรใหญ่ของน้องต่างบิดาของอาร์เธอร์อย่างชัดเจนจะมีขัดใจบ้างก็แค่สีผมของมีร่า(Mera) ที่แสดงโดยสุดสวย แอมเบอร์ เฮิร์ด (Amber Heard)ไม่ได้แดงสะใจแม้อยู่ใต้น้ำเหมือนเวอร์ชันของเจมส์ วาน (James Wan)เท่านั้นแหละ
การปรากฎตัวของโจ๊กเกอร์ฉบับ จาเร็ด เลโท
ตามที่ได้มีข่าวมาก่อนหน้านี้ว่าหนึ่งในฉากที่ถูกถ่ายทำใหม่มีการปรับลุ๊กโจ๊กเกอร์ (Joker) ของ จาเร็ด เลโท (Jared Leto) ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยตอนเห็นข่าว แต่ถามว่ามีความสำคัญกับเรื่องแค่ไหน หากตอบแบบเลี่ยงสปอยล์สุด ๆ ก็คงต้องบอกว่าเป็นเพียงน้ำจิ้มและของขวัญพิเศษแก่แฟน ๆ ดีซีเสียมากกว่า ซึ่งคงต้องรอในอนาคตล่ะนะว่าทางวอร์เนอร์จะสานต่อตัวละครโจ๊กเกอร์ของเลโทยังไง
ความไฮป์ที่มากขึ้นของแม่วันเดอร์วูแมน พ่อซูเปอร์แมน และความเก๋าเท่ของอัลเฟรดและกอร์ดอน
อันนี้ไม่ได้ต่างจากเวอร์ชันเดิมมากนักเพียงแต่มีการปรับจังหวะการเล่าเรื่องและเพิ่มความยาวของแต่ละฉากที่ปรากฎตัวของตัวละครจุดขายอยู่แล้ว ในกรณีวันเดอร์วูแมนต้องยอมรับว่าต่อให้เพิ่มความยาวฉากของนางมาแค่ไหนคนดูก็พร้อมปาดขี้ตาดูล่ะเพราะความสวยของ กัล กาดอต (Gal Gadot) นั้นเกินต้านสุด ๆ และยิ่งมีฉากกุ๊กกิ๊กเล็ก ๆ กับบรูซ เวย์น (Bruce Wayne) ของ เบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) แล้วยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เธอเข้าไปใหญ่
ส่วนใครรอการมาของซูเปอร์แมนในเวอร์ชันนี้แล้วหวังเห็นมุมอื่นที่ต่างจากเดิมก็ขอบอกว่ามันไม่ได้ชัดเจนเหมือนกรณีไซบอร์ก เดอะแฟลชหรืออควาแมนขนาดนั้นแต่เป็นงานดีไซน์ชุดที่เปลี่ยนไปชัดเจนและฉากบู๊ที่มีให้เห็นเยอะกว่าเดิมแต่โครงเรื่องนอกจากการชุบชีวิตแล้วก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นครับ
ส่วนตัวละครที่บทบาทไม่เยอะแต่เท่เหลือเกินอย่างอัลเฟรด (Alfred) พ่อบ้านของนายท่านเวย์นนั้น ก็ต้องบอกว่า เจเรมี ไอออนส์ (Jeremy Irons) เสน่ห์แรงมากเป็นคนแก่ที่ลูกล่อลูกชนเยอะสร้างสีสันได้ดีทีเดียว ส่วนท่านอธิบดีกอร์ดอน ของเจ เค ซิมมอนส์ก็ดูมีบทบาทมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
โดยภาพรวมแล้วต้องบอกว่า ‘Zack Snyder’s Justice League’ ถือว่าเติมเต็มจุดบกพร่องและช่องโหว่ของเรื่องราวได้ดีทีเดียวแม้บทหนังของ คริส เทอริโอ (Chris Terrio) จะยังมีช่องโหว่ตรงการเฉลี่ยน้ำหนักให้ตัวละครแต่ละตัวอยู่บ้างหรือบทสรุปที่หนังก็เลือกจะปลายเปิดไว้เพื่อรอหนังภาคต่อไปหรือหนังในจักรวาลมาสานต่อจนบางประเด็นยังไม่เคลียร์อยู่บ้าง
แต่อย่างน้อยการที่พ่อและแม่ตระกูลสไนเดอร์กลับมาสานต่อเรื่องราวโดยยังคงหัวใจของประเด็นครอบครัวพร้อมบทสรุปที่หนังตั้งชื่อว่า ‘ได้เป็นพ่อถึงสองครั้ง’ ก่อนจะจบด้วยตัวอักษรแด่ ออทัมน์ สไนเดอร์ (For Autumn) แล้วก็คงยากที่เราจะไม่คารวะหัวใจของ แซ็ก สไนเดอร์ และ เดบอราห์ สไนเดอร์
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส