หลังจากครองแชมป์หนังที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลกมาตั้งแต่ปี 2009 ปีที่ออกฉาย แล้วก็มาเสียตำแหน่งแชมป์ให้กับ Avengers: Endgame ในปี 2019 ล่าสุด Avatar ก็กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อ Avatar สามารถเรียกตำแหน่งแชมป์หนังทำเงินสูงที่สุดในโลกกลับคืนมาได้ ก็ต้องขอบคุณตลาดผู้ชมชาวจีน ในวันที่โรงหนังทั่วประเทศจีนกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง แล้วก็นำ Avatar กลับมาเข้าโรงฉาย เหตุจากพิจารณแล้วว่าน่าจะเป็นหนังที่มีศักยภาพในการดึงดูดความสนใจผู้ชมให้กลับมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ได้อีกครั้ง แล้วก็เป็นไปตามคาด หนังได้รับการต้อนรับจากผู้ชมชาวจีน จนทำให้รายได้ของ Avatar จากเดิมที่ 2,789 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นมาเป็น 2,810 ล้านเหรียญ ทำให้รายได้กลับมาแซงหน้า Avengers: Endgame ที่ทำตัวเลขไว้ 2,797 ล้านเหรียญ ได้สำเร็จ เมื่อมาถึงจุดนี้ เป้าหมายต่อไปของ Avatar ที่น่าลุ้นก็คือ หนังจะเข้าสู่หลัก 3,000 ล้านได้เป็นเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์โลกได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ใช่ความหวังที่เวอร์วังเกินไป ถ้ามองตัวเลขเป็นหลักพันล้านอาจจะดูเยอะ แต่เอาจริง ๆ แล้วรายได้ของ Avatar ก็ขาดอีกแค่ 190 ล้านเหรียญเท่านั้น ก็จะไปถึงหลักชัย 3,000 ล้านเหรียญได้แล้ว
เมื่อจะวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของตัวเลขอีก 190 ล้านสู่หลัก 3,000 ล้านนั้น ผู้เขียนจะพาย้อนไปถึงเส้นทางสู่ตำแหน่งหนังทำเงินสูงที่สุดในโลกเมื่อปี 2009 กันเสียหน่อย เพราะแนวทางการทำเงินของ Avatar นั้นมาแบบเรียบ ๆ ต่างจากเส้นทางของ Avengers: Endgame อย่างมาก ที่เปิดตัวตูมเดียวในสุดสัปดาห์แรกก็กวาดไป 357 ล้านเหรียญ จากนั้นก็ใช้เวลาเพียงแค่ 4 เดือนในการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งแชมป์หนังทำเงินสูงที่สุดในโลก ส่วน Avatar นั่นมาแบบค่อยเป็นค่อยไป หนังออกฉายในเดือนธันวาคม 2009 เปิดตัวไปด้วยตัวเลขแค่ 77 ล้านเหรียญ แต่จุดที่น่าสนใจก็คือตัวเลขในสัปดาห์ที่ 2 ลดลงมาแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นซึ่งนับว่ามีหนังน้อยเรื่องมากที่ทำได้แบบนี้ แล้วก็กวาดไปอีก 75 ล้านเหรียญ แล้วก็ไปแบบเรียบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กวาดรายได้ในตลาดต่างประเทศแบบเป็นกอบเป็นกำ รายได้ 2,789 ล้านเหรียญของ Avatar นั้น หลัก ๆ แล้วมาจากตลาดทั่วโลก ที่รวม ๆ กันแล้วก็เกือบ 2,000 ล้านเหรียญ ส่วนรายได้ในสหรัฐฯ นั้นเก็บมาได้ที่ 750 ล้านเหรียญ
จึงกล่าวได้ว่าเส้นทางสู่ตำแหน่งแชมป์หนังทำเงินตลอดกาลของ Avatar นั้นไม่ค่อยเหมือนรูปแบบของหนังทำเงินเรื่องอื่น ๆ เพราะช่วงที่หนังเปิดตัวก็เป็นสัปดาห์ปกติที่ไม่มีวันหยุดมาช่วยผลักดัน เป็นหนังที่ทำรายได้ด้วยคุณค่าของหนังที่พิสูจน์ตัวเอง เสียงเชียร์ เสียงชื่นชมแบบปากต่อปาก แต่ถ้าพิจารณาว่ามีองค์ประกอบไหนไหมที่เป็นแรงผลักดันรายได้ของ Avatar ให้มากมายขนาดนี้ ก็ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากที่หนังเน้นฉายในรูปแบบ 3D และ IMAX เป็นหลัก แล้วค่าตั๋วของหนังทั้ง 2 ระบบนี้ก็แพงกว่าโรงฉายธรรมดาทั่วไปนั่นเอง
วิเคราะห์กันต่อ ถึงกรณีตัวอย่างในการเอาหนังเก่ากลับมาเข้าโรงฉายอีกครั้ง เมื่อปี 2013 ฟอกซ์ก็เคยเอา Jurassic Park กลับมาฉายอีกครั้ง ได้เงินไปเพิ่มอีก 118 ล้านเหรียญ บวกกับค่าตั๋วแบบ 3D ด้วยในวันนั้น อีกตัวอย่างหนึ่งก็ Star Wars : A New Hope เวอร์ชันพิเศษโดย จอร์จ ลูคัส ที่กลับมาเข้าโรงฉายอีกครั้งในปี 1997 กวาดเงินจากเหล่าสาวกได้ไปมากถึง 138 ล้านเหรียญ เฉพาะในสหรัฐฯ ส่วนภาคต่อมา The Empire Strikes Back ได้ไปอีก 67.5 ล้านเหรียญ และ Return of the Jedi ได้ไปที่ 45.4 ล้านเหรียญ มองตัวเลขที่ Star Wars ได้ไปที่หลักร้อยกว่าล้าน อย่าเพิ่งประเมินว่าน้อยจัง เพราะถ้าเอาตัวเลข 138 ล้านมาคำนวณแบบอัตราภาวะเงินเฟ้อแล้วเป็นค่าเงินในปีนี้นี่เท่ากับ 300 ล้านเหรียญเชียวเลยนะ
กลับมาดูที่สถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อ Avatar ตกมาอยู่ในมือของดิสนีย์ แล้วถ้านับถึงวันนี้ Avatar ก็ออกฉายมา 10 กว่าปีแล้ว การจะเอาหนังกลับมาเข้าโรงฉายอีกรอบ ก็นับเป็นเวลาที่สมควร มองเกมแล้วก็เป็นไปได้ที่ดิสนีย์จะเอา Avatar มาเข้าโรงฉายอีกครั้งในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกในเร็ววันนี้ เพราะเป็นช่วงที่โรงหนังเริ่มจะกลับมาให้บริการตามปกติ แล้วก็เป็นการรื้อฟื้นความทรงจำ ปูทางให้กับหนังภาคต่อ Avatar 2 ที่วางกำหนดฉายไว้ว่าเป็น ธันวาคม 2022 ฉะนั้นเมื่อมองตัวเลขอีกแค่ 190 ล้านเหรียญ สู่หลัก 3,000 ล้านของ Avatar แล้ว ช่างเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ
แถมท้ายถึงสถิติหนังทำเงินที่ผ่านหลัก 2, 000 ล้านเหรียญ ตลอดประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์โลก มีเพียงแค่ 5 เรื่องเท่านั้น 2 อันดับแรกคือ Avatar และ Avengers: Endgame ที่เรากล่าวถึงไปแล้ว แต่ถ้า Avatar หนีไปหลัก 3,000 ล้านเหรียญ ก็จะเหลือ Avengers: Endgame อยู่ในหลัก 2,000 ล้านเหรียญ กับอีก 3 เรื่องด้านล่างนี้
- Titanic 2,200 ล้านเหรียญ
- Star Wars: The Force Awakens 2,060 ล้านเหรียญ
- Avengers: Infinity War 2,040 ล้านเหรียญ