Release Date
06/04/2021
ความยาว
85 นาที
Our score
9.0เอหิปัสสิโก
จุดเด่น
- ประเด็นของหนังเป็นที่น่าสนใจของชาวไทย มีการเล่าหลายมิติเลือกผู้สัมภาษณ์ได้ดีน่าสนใจ การถ่ายภาพสวยมาก เจือความตลกร้ายอยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้ไม่น่าเบื่อ
จุดสังเกต
- ข้อความที่ใช้เล่าเรื่องน่าจะทำให้อ่านง่ายกว่านี้ได้ ยังพอเห็นอคติของผู้สร้างจาง ๆ ผ่านการถ่ายภาพ และการลำดับภาพในบางฉาก แต่ไม่ชัดเจนว่าจงใจหรือเป็นไปโดยไม่รู้ตัว หนังไม่มีบทสรุปตายตัว ต้องอาศัยประสบการณ์และความใจกว้างเปิดรับสารของผู้ชม
-
บทสารคดี
8.5
-
โปรดักชัน
9.0
-
คุณค่าเชิงสารคดี
9.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
9.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
9.0
เรื่องย่อ สำรวจอย่างเป็นกลางถึงมุมมองต่าง ๆ ต่อเหตุการณ์ในปี 2560 เมื่อพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผ่านการสัมภาษณ์ฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายต่อต้าน รวมถึงสัมภาษณ์มุมมองของนักวิชาการที่มาตั้งข้อสังเกตต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงรากฐานความเชื่อ ความศรัทธา และหาคำตอบถึงบทบาทของศาสนาและความเชื่อในสังคมไทย
เป็นหนังสารคดีไทยที่คนดูแน่นถึงแถวหน้า ไม่ค่อยได้เห็นบ่อย ๆ นะครับ
‘ไก่-ณฐพล บุญประกอบ’ คือผู้กำกับซึ่งเคยมีผลงานสารคดีเข้าฉายในบ้านเราแล้วก่อนหน้าอย่าง ‘2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว’ ว่าด้วยการวิ่งระดมทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลรัฐจากเบตงถึงแม่สายของ ‘พี่ตูน’ ซึ่งกลายเป็นหนังยาวเรื่องแรกของณฐพล หลังเดินทางกลับมาจากเรียนต่อที่อเมริกาในสาขาภาพยนตร์สารคดีเพื่อสังคมที่ School of Visual Arts เมืองนิวยอร์ก
ทว่าในความเป็นจริงแล้วก่อนหน้าการวิ่งของพี่ตูน (โครงการก้าวคนละก้าว ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. -25 ธ.ค. 2560) หลายเดือนนั้น ณฐพลกำลังซุ่มเก็บฟุตเทจในหนังที่เขาอาจตั้งใจเป็นหนังยาวเรื่องแรกมากกว่า ทว่าด้วยความยากของเรื่องราวและความคุกรุ่นของอารมณ์ในสังคมช่วงนั้น (ก.พ. 2560) ก็ได้ทำให้ ‘เอหิปัสสิโก’ หรือ ‘Come and See’ ที่ตัวชื่อแปลได้ว่า ‘จงมาดูเถิด’ หนังที่นำเสนอข้อถกเถียงทางสังคม ว่าด้วยประเด็น ‘วัดพระธรรมกาย’ จึงเพิ่งได้ทำออกมาเสร็จเรียบร้อยและได้รับการอนุญาตให้ฉายเมื่อไม่นานมานี้เอง
และแม้ในความจริงหนังจะเคยตระเวนฉายในเชิงเพื่อการศึกษามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม แต่เมื่อจะนำเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทางผู้สร้างก็ถูกขอให้ชี้แจงเพิ่มเติมจากกองเซนเซอร์ จึงทำให้เกิดความหวั่นใจว่า อาจเป็นอีกครั้งที่หนังเกี่ยวกับพุทธศาสนา อาจถูก ‘ห้ามฉาย’ หรือ ‘หั่นฉาก’ จนไม่เหลือเค้าเดิม แต่แล้วด้วยการพูดถึงอย่างกว้างขวางในที่สุดหนังก็ผ่านการตรวจและออกฉายในที่สุด และข่าวการอาจถูกห้ามฉายนี้เองที่ทำให้หนังอยู้ในความสนใจของผู้คนที่สนใจเรื่องวัดพระธรรมกายเป็นทุนเดิม
ยิ่งเมื่อพิจารณาว่า บัดนี้ได้ผ่านล่วงเลยมากว่า 4 ปีแล้ว อารมณ์ความคิดอคติและสถานการณ์แวดล้อมได้เปลี่ยนไป การได้มองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านหนังสารคดีเรื่องนี้อีกครั้ง ย่อมเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างที่สุดแน่นอน
และหนังของณฐพลก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง หนังใช้ความยาว 85 นาที ได้อย่างดี ไม่มากจนน่าเบื่อ เยิ่นเย้อ และไม่น้อยจนทอนพื้นที่การเล่าของฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เราได้ ‘ฟังความ’ จากทั้งสองฝั่งความคิด คือผู้ศรัทธาในวัดพระธรรมกาย และผู้อคติต่อวัดพระธรรมกาย และที่น่าดีใจคือ เราได้เห็นความเห็นที่ ‘เข้าท่า’ และ ‘ไม่เข้าท่า’ จากทั้งสองฝั่งพอ ๆ กัน และเพื่อให้ผู้ชมพอมีหลักในการตามเรื่องราว ก็ยังสอดแทรกความเห็นที่ให้ทั้งข้อดี-ข้อด้อย จากปากนักวิชาการทางศาสนาและสังคมหลายคนที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ร่วมในเหตุการณ์นี้เข้ามาด้วย
หนังเรื่องนี้เกือบจะเป็นการซ่อนของผู้สร้างอย่างสมบูรณ์ตามอุดมคติหนังสารคดีประเภทหนึ่งที่อยากให้ผู้ชมสัมผัสใกล้ชิดกับประเด็นของหนังโดยไม่มีผู้สร้างเข้าไปแทรกแซง เพราะเราแทบไม่เห็นทีมงานผู้สร้างในหนัง ทว่าตลอดเรื่องเราก็ยังได้เห็นบุคคลในหนังสารคดีพูดคุยกับ ‘ไก่’ ซึ่งหมายถึงตัวณฐพลอยู่หลายครั้ง และบางครั้งก็มีเสียงของณฐพลแทรกเข้าไปในหนังด้วย จึงเชื่อได้ว่าณฐพลน่าจะต้องการให้ผู้ชมระลึกอยู่เสมอว่าความจริงตรงหน้าเป็นการที่เขาเข้าไปถ่ายทำ และยากที่จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า อคติของผู้สร้างเจือปน
อคติของผู้สร้างที่ว่า อาจถูกถ่ายทอดมาอย่างจงใจและไม่รู้ตัวได้ทั้งสิ้น บางฉากเราเห็นการแช่ภาพค้างนานผิดปกติ บางฉากต่อลำดับกับประเด็นที่พูดก่อนหน้าแล้วตีความได้อีกแบบ หรือแม้แต่บางฉากที่ไม่จำเป็นต้องใส่มา แต่ก็ปรากฏในหนัง เหล่านี้จึงทำให้เห็นว่าณฐพลก็แฟร์กับผู้ชมพอสมควรที่จะบอกว่าหนังมีอคติอ่อน ๆ และจะได้ให้ผู้ชมใช้ปัญญาของตนพิจารณาสาระของหนังด้วยจนเอง
เราคงชี้ไม่ได้ว่าในหนังนั้นฝ่ายไหนถูกหรือฝ่ายไหนผิด แม้บางคนตั้งใจเข้าไปดูแบบมีธงล่วงหน้า บางคนเป็นคนที่ไม่นิยมวัดพระธรรมกาย บางคนก็เป็นคนที่เข้าวัดพระธรรมกายมาหลายสิบปี โรงหนังที่ผมได้ชมวันนี้อยู่ที่รังสิตก็นับว่าใกล้เคียงวัดพระธรรมกายมากที่สุดสำหรับโรงหนังที่มีการฉาย ได้เห็นอากัปกิริยาของผู้ชมหลากหลาย มีทั้งนักเรียนนักศึกษา ประชาชนที่สนใจ และคงไม่น้อยที่อาจเป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย (อันสังเกตได้จากเสียงหัวเราะต่อบางฉาก)
ทว่าเชื่อได้ว่าหนังก็มีพลังเพียงพอที่จะทำให้คนที่ไม่ว่ามีความเชื่ออคติเดิมมาทางฝั่งไหน เมื่อได้ชมหนังเรื่องนี้ ย่อมต้องได้ฉุกคิดบ้างไม่มากก็น้อย ว่าแท้จริงความยึดมั่นในความคิด (และความดี) ของเราเองก็อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิได้ในทุกโอกาส
อย่างน้อยเมื่อถึงฉากท้าย ๆ ของหนังที่มีผู้พูดว่า ‘คนตาบอด ไม่เชื่อว่ามีดวงอาทิตย์อยู่ แต่ดวงอาทิตย์นั้นก็ยังตั้งอยู่ เรามีความจริงและความดีในแบบของเรา สักวันหนึ่งคนตาบอดย่อมเข้าใจ เพราะความจริงไม่อาจลบหายได้’ นั้น หากผู้ได้ชมมีเสี้ยวหนึ่งในใจว่า จะมั่นใจได้อย่างไร ว่าเราไม่ใช่ ‘คนตาบอด’ นั้นเสียเอง หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จยิ่งยวดแล้ว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส