ต้องเกริ่นถึงตัวผู้กำกับ เต๋อ นวพล ก่อน เพราะผู้อ่านบางท่านอาจไม่รู้จัก เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่มากำกับหนังกับ GTH เป็นเรื่องแรก เต๋อ ก้าวมาจากมือเขียนบท มีผลงานดังๆกับ GTH หลายเรื่องอย่าง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” “รัก 7 ปี ดี 7 หน” และ “วัยรุ่นพันล้าน” ได้วิชาเขียนบทมาจาก เก้ง จิระ มะลิกุล เมื่อได้สั่งสมประสบการณ์พอสมควร ก็กำกับหนังเองเรื่อง “mary is happy” ออกฉายไม่กี่โรงเมื่อปี 2556 เป็นหนังอาร์ทที่มีแนวทางเฉพาะ ไม่ได้เอาใจตลาด แล้วเมื่อ ผู้กำกับที่มีแนวทางตัวเองชัดเจนอย่าง เต๋อ นวพล มากำกับหนังให้กับ GTH ค่ายที่ชื่อว่าทำหนังเอาใจตลาดได้ถูกจริตคนดูมากที่สุด ผลจะออกมาอย่าง ไร
จากที่เห็นสื่อต่างๆที่ใช้โปรโมท “ฟรีแลนซ์” แล้ว จะเห็นว่า หนังค่อนข้างผลักดันชื่อของ เต๋อ นวพล ออกมาขายควบคู่กับ ซันนี่ และ ใหม่ ทั้งใบปิด และ มิวสิควีดีโอ ประหนึ่งว่าเป็นเกราะป้องกันกลายๆ เพราะ หนังน่าจะไม่ถูกจริตบรรดาขาประจำของหนัง GTH สักเท่าไหร่นัก จะได้ชี้นิ้วได้ว่านี่เป็นหนังของ เต๋อ นวพล นะ
กับเวลาที่ผ่านไปชั่วโมงครึ่งแรกของหนัง บอกได้เลยเป็นการผสมผสานความบันเทิงแบบหนัง GTH เข้ากับสไตล์ของ เต๋อ นวพล ได้ลงตัวมาก หนังเดินหน้าไปแบบมีเสียงหัวเราะคลอตลอดทาง เป็นมุกที่ไม่ใช่ ตลกสถานการณ์ หรือ ตลกท่าทาง แบบหนังตลกทั่วไป แต่เป็นมุกจากบทสนทนา และ เสียงรำพึงรำพันในหัวของ ยุ่น ทำหน้าที่เหมือนเสียงบรรยายตลอดเรื่อง เรียกได้ว่านี่คือหนังขาย ซันนี่ เป็นหลัก บทฟรีแลนซ์ยุ่น ทำงานคนเดียวอยู่ที่บ้านวันๆแทบไม่ได้พูดกับใคร ก็เลยต้องให้คนดูได้ยินเสียงความคิดของยุ่น ไม่งั้นหนังเงียบแน่ ส่วนสไตล์ที่เหมือนลายเซ็นของ เต๋อ นวพล คือการนำเสนอภาพที่ดู”โคตรจริง”ที่สุด แล้วก็เป็นส่วนที่ผมชอบมาก บทสนทนาดูไม่ปรุงแต่งเลย เหมือนภาษาที่เราๆพูดคุยกันอยู่ แต่ก็มีทั้งคำหยาบ สบถ ประชดประชัน เลยเป็นเหตุให้หนังจำกัดคนดูที่อายุ13 โลเกชั่นทั้งเรื่องไม่ต้องสวยงาม ทั้งบ้านยุ่น โรงพยาบาล ร้านอาหาร ภาพที่ปรากฎบนจอไม่มีการประดิดประดอย แสงแทบไม่ต้องจัด ถ่ายภาพแบบแฮนด์เฮลด์แต่ไม่ถึงกับส่ายไปมาให้ปวดหัว ฉากยุ่น คุยกับหมออิม ก็คุยกันข้างถนนข้างหลังเป็นต้นโพธิ์มีศาลเก่ามีตุ๊กตาเสียกบาลมาวางทิ้ง บรรดาดาราที่มาเล่นต้องไม่ห่วงสวย ,ใหม่ เล่นได้ธรรมชาติดีมาก เป็นบทของเธอที่ดูแตกต่างมากจากที่เคยเห็นผ่านๆตากันมา แต่งหน้าบางสุดแต่ก็ยังดูสวย ใหม่ ต้องเล่นบทที่เกินอายุตัวเองไปมาก ในเรื่อง หมออิม บอกว่าเธอและยุ่นวัย 30ต้นๆใกล้เคียงกัน ตัวใหม่เพิ่ง อายุ 23 ส่วน ซันนี่ อายุ 34 ส่วน วีโอเล็ต นี่แทบหน้าสดทั้งเรื่องเลย เป็นงานแสดงของ วี ที่ดูก้าวกระโดดมากจากบทเด็กวัยรุ่น ใน “ฝากไว้ในกายเธอ” เสื้อผ้านักแสดงก็ไม่ต้องเฟ้นหามาก ทั้งเรื่องยุ่นจะใส่เสื้ออยู่3ตัว วนไปวนมา
บทภาพยนตร์ฝีมือของ เต๋อ เอง เป็นการหยิบแง่มุมหนึ่งในชีวิตประจำวันที่เรารู้จัก สัมผัสได้ มาขึ้นจอให้เราได้ดูกัน ได้รู้จัก ชีวิตการทำงานของ อาชีพฟรีแลนซ์ การแข่งขันกับเวลา และหนีเด็กรุ่นหลังที่กำลังไล่ตาม ชอบหลายๆ ฉากที่เต๋อ เล่นกับอารมณ์คนดู ปล่อยตัวละครอยู่ในฉากนิ่งๆ เงียบๆ ไม่มีบทพูด ไม่มีดนตรีประกอบ มีแค่การสื่อออกมาทางสายตา ท่าทางแต่มันตรึงความสนใจคนดูได้ดี ดึงให้เรารู้สึกไปกับสถานการณ์ในขณะนั้นได้ด้วย แล้วลุ้นไปว่าตัวละครจะทำอะไรต่อไป ชั่วโมงครึ่งแรกของหนัง ผมชอบมาก กราฟความพึงพอใจขึ้นสูงสุด เริ่มคิดค่อนขอดรีวิวต่างๆ ที่อ่านมาก่อนหน้า หนังสนุกดีออก ไม่เห็นเหมือนที่อ่านมาเลย
ประเด็นมันอยู่ที่ 40นาทีหลัง เมื่อ เต๋อ เริ่มใส่ตัวตนเข้าไปเต็มที่ พาหนังเปลี่ยนโทนเปลี่ยนทิศทางไปแบบพลิกอารมณ์สุด หนังเริ่ม เครียด หม่น เสียงหัวเราะหายไป บทหมออิมหายไป ในขณะที่คนดูก็ลุ้นเอาใจช่วยให้ความสัมพันธ์ของยุ่นกับหมออิมเดินหน้าไปซะที ไม่ผิดที่คนดูจะคาดหวังเพราะหน้าหนังก็ถูกนำเสนอมาในภาพลักษณ์ว่าเป็น โรแมนติค คอมมีดี้ เลยเป็น 40 นาที ที่ค่อนข้าง “อึดอัด” เพราะคนดูอยู่กับหนังมาจะ2ชั่วโมงแล้ว หนังเริ่มใส่ “สาร” หนักๆมาถึงคนดู ทั้งเรื่อง ความหมายของชีวิต , จุดมุ่งหมายของชีวิต นาทีนั้นก็มีเสียงในห้วงคำนึงของผมขึ้นมามั่ง “พอเหอะ พอได้แล้ว” กราฟความพึงพอใจดิ่งลง เริ่มคิดพ้อง กับรีวิวต่างๆ ที่อ่านมาก่อนหน้านี้ “นั่นไง ที่เค้าว่ากันไว้ จริงด้วย”
สรุป: หนังสนุกครับ ดูไปฮาไป มีมุกมากกว่าที่เห็นในตัวอย่าง เป็นงานแสดงที่ ซันนี่ ได้โชว์ความสามารถการแสดงมาก บทยุ่นอยู่บนจอแทบทุกนาทีของหนัง สำคัญที่ว่า ให้เผื่อใจให้มากกับรสชาติแปลกใหม่ของหนัง GTH ใน 40 นาทีท้าย จะได้ไม่อึ้งตอนดู