Release Date
30/04/2021
ความยาว
113 นาที
Our score
9.0The Mitchells vs. the Machines
จุดเด่น
- งานภาพมากสไตล์ งานบทที่อิ่มอุ่นสนุกทุกช่วงเวลา และความรักมากมวลที่สามารถสัมผัสได้เลย ยิ่งช่วงหนังจบน้ำตาซึมได้ง่ายเลย และต้องจดไว้ว่านี่เป็นหนังเน็ตฟลิกซ์ที่การแปลเพื่อพากย์ไทยทำได้สนุกกว่าซับไทยด้วย
จุดสังเกต
- ไม่มีอะไรให้ตินักเลย แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบอะไรที่วุ่นวาย ฉูดฉาด ไวมาก ๆ ก็อาจไม่ชอบล่ะนะ
-
บท
9.0
-
โปรดักชัน
8.5
-
งานพากย์ภาษาไทย
9.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
9.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
10.0
เรื่องย่อ: โรดทริปของครอบครัวสุดเพี้ยนอลเวงอย่างหนักเมื่อทุกคนดันไปตกอยู่ท่ามกลางศึกหุ่นยนต์ถล่มโลก และกลายมาเป็นความหวังสุดท้ายของมวลมนุษยชาติแบบที่ไม่มีใครคาดคิด!
หากมองหาความบันเทิงแบบอิ่ม ๆ ในห้วงเวลานี้ คงต้องขอยกให้หนังเรื่องนี้จากทางเน็ตฟลิกซ์จริง ๆ ด้วยเส้นเรื่องที่เรียบง่ายดูได้ทั้งผู้ใหญ่ยันเด็ก แถมเสริมสร้างความผูกพันได้ดีมาก ๆ ด้วย เพราะบ้านมิตเชลล์นี้มีลูกสาวที่เริ่มโตและค้นพบเส้นทางฝันในการเป็นผู้กำกับหนัง แต่แน่นอนว่าคุณพ่อหัวเก่าย่อมไม่เข้าใจและเป็นห่วงว่าจะใช้เลี้ยงชีพได้จริงเหรอ จนกลายเป็นความระหองระแหงเล็ก ๆ ในครอบครัวเล็กที่สมาชิกแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันสูง (ไม่ต่างจากครอบครัวยุคใหม่จำนวนมากมายเลย)
และเมื่อถึงวันที่ลูกสาวต้องไปเข้ามหาวิทยาลัย คุณพ่อจึงตัดสินใจจัดทริประยะไกลพาทั้งครอบครัวไปส่งลูกสาวคนโต แน่นอนว่าหลังจากนั้นคือความวายป่วงของบุคลิกที่ขัดแย้งกันในครอบครัว แล้วยังไม่วายมีเรื่องของหุ่นยนต์ยึดครองโลกมาป่วนอีก
ต้องบอกว่า ‘The Mitchells vs. the Machines’ เป็นแนวหนังครอบครัว ผสมโรดมูฟวีที่มีกลิ่นฟีลกู้ด ชวนให้นึกถึง ‘Little Miss Sunshine’ (2006) อยู่บ้างเหมือนกัน ทว่าด้วยความเป็นแอนิเมชันที่ต้องเผื่อใจให้เด็กรับชมด้วยทำให้หนังไม่ดูยากเท่า และยังสามารถใส่ความแฟนซีลงไปได้มากกว่าจึงมีกราฟความบันเทิงที่โดดเด้งกว่ามาก ๆ
ด้านงานภาพต้องบอกว่าขึ้นชื่อว่ามาจาก Sony Pictures Animation แล้ว หายห่วงเรื่องความจัดจ้านของสไตล์ อย่างในหนัง ‘Spider-Man: Into the Spider-Verse’ (2018) ก็เห็นได้เป็นตัวอย่าง สำหรับเรื่องนี้ด้วยความที่ตัวละครอย่าง เคที ลูกสาวคนโตของครอบครัวนั้นเป็นตัวแทนสายตาผู้ชม และด้วยความชื่นชอบในการทำคลิปไวรัลลงยูทูบ หนังทั้งเรื่องจึงอุดมด้วยการผสมภาพมีมและดูเดิลในอินเทอร์เน็ตมากมาย บางครั้งใช้ภาพจริงผสมกับแอนิเมชัน 3 มิติด้วยซ้ำแบบขัดแย้งสุด ๆ แต่กลายเป็นว่าหนังยิ่งดูยิ่งมัน เราเห็นความมันมือ สนุกกับงาน รักในงานของทีมผู้สร้างผ่านตัวผลงานได้เลย
การทำด้วยความรักในงานนี้ ยังสะท้อนออกมาผ่านบทของหนัง ซึ่งอาจมองว่าไม่มีอะไรใหม่ได้หากคำนึงถึงเพียงเส้นเรื่องหลัก เพราะยอมรับว่ามันก็คือหนังตามสูตรที่ให้เด็กดูง่ายด้วย แต่ทว่าธีมและสารที่หนังต้องการสื่อเรารู้สึกได้เลยว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับคำว่าครอบครัวมากขนาดไหน มันต้องเป็นคนที่รักครอบครัวและมีหัวใจอบอุ่นจริง ๆ ถึงจะทำหนังน่ารักอย่างนี้ได้แบบไม่ขวยเขิน
นอกจากนี้หนังยังมีซับพลอตที่น่าสนใจด้วย เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีที่มีพรากปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ที่ยังสามารถพลิกมุมกลับให้หุ่นยนต์เป็นสายตาหลักว่ามนุษย์เองก็ใช่ย่อยในเรื่องไร้ใจ อย่าโทษเทคโนโลยีเลย ซึ่งสำหรับผู้ใหญ่มันก็มีมุมสะอึกที่ดีเหมือนกัน
สำหรับบรรดามุกตลกมากมายที่ใส่มา ต้องบอกว่าทีมงานสร้างต้องจัดว่าเป็นเนิร์ดด้านตลกเลยล่ะ เพราะจังหวะจะโคน และความหลากหลายของวิธีการเล่นมุกนั้นสดใหม่มาก ยิ่งดูยิ่งรู้ว่าตอนทำหนังเรื่องนี้คงมีแต่เสียงหัวเราะแน่ ๆ
เมื่อหนังผลิตขึ้นจากความรัก มันจึงเป็นหนังรัก หนังครอบครัวที่อบอุ่นใจ อิ่มใจมาก ๆ เรื่องหนึ่งเลย ยิ่งช่วงเวลาที่บรรยากาศทางสังคมอึมครึม ครอบครัวห่างเหินกันและมีโอกาสต้องกักตัวอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ นี่คือหนังที่ตอบทุกโจทย์หัวใจเราในขณะนี้ทีเดียว แนะนำครับ กอดครอบครัวของเรา ในเวลาที่ไม่ต้องรีบเร่งไปไหน พักใจแล้วอิ่มรักไปด้วยกัน ดูสนุกซึ้งน้ำตาซึมได้ยันเครดิตจบเลยทีเดียว (มีเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ที่เครดิตจบด้วย เพราะมีดาราฮ่องกงที่คนไทยคุ้นหน้ามากท่านหนึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ให้หนังด้วย)
และสำหรับคอหนัง แนะนำให้ลองจำชื่อผู้กำกับและเขียนบทอย่าง ไมเคิล ริอานดา (Michael Rianda) ไว้เผื่อติดตามผลงานในวันข้างหน้าด้วย ดูจากผลงานที่เป็นเพียงเรื่องแรก ๆ คิดว่าน่าสนใจไม่เบาเลยครับ และยิ่งรู้ว่าแกพากย์เสียงเป็นลูกชายคนเล็กเองด้วย บอกเลยว่าคนนี้มีของไม่เบาเลยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส