ประสบการณ์ครั้งแรกกับหนัง พจน์ อานนท์ ผมมาเริ่มดูก็ภาค 5 แล้ว ในแฟรนไชส์หนังที่สร้างต่อกันมาได้ถึง 8 ปี ถึงแม้รายได้จะวิ่งลงอย่างฮวบฮาบในภาค4 (ภาคแรก 51 ล้าน ภาค 4 -26 ล้าน) แต่ค่ายหนังก็ยังไฟเขียวให้สร้างภาคต่อกันอยู่ ที่สำคัญก่อนดูต้องเปิดโหมดตอบรับหนังตลกหวังรายได้ทางการตลาดเสียก่อน เหมือนตอนดูหนังรางวัล มีช่อมะกอกเยอะๆอย่าไปคาดหวังความสนุก ดูหนังฮอลลีวู้ดบล็อคบัสเตอร์อย่าไปคาดหวังสาระความสมจริง,แล้วจะไม่หงุดหงิดขณะดู
หนังยังคงเรื่องราวของตัวละครหลัก ที่รับบทโดย จาตุรงค์ เอกชัย และ โก๊ะตี๋ อดีตเจ้าของหอพักและผีประจำหอพัก ที่ภาคนี้ กะเทยทั้ง 4 ก็ได้รับเชิญมาเป็นอาจารย์ ในโรงเรียน ปรมินทร์วิทยาคม ที่ทั้ง 4 เป็นศิษย์เก่า หนังเริ่มแนะนำตัวละครใหม่ มี สุเทพ สีใส เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน มีตุ๊กกี้ รับบทอุษาสวรรค์ รองผู้อำนวยการที่วางแผนการฮุบโรงเรียน ร่วมกับครูชอว์ที่เป็นคนรัก และบรรดาดาราหนุ่มสาวหน้าตาดี เด็กในสังกัดของพจน์ อานนท์ ที่เป็นโลโก้ประจำของหนังพจน์ อานนท์ถูกยัดใส่เข้ามาประกอบฉากสิบกว่าคน แบบไม่มีใครจำได้ว่าใครชื่ออะไรในเรื่องนี้ ภาคนี้ อาจารย์ยิ่งศักดิ์จะไม่กลับมาร่วมทีม แต่ใส่บุ๊คโกะ เข้ามาแทนเป็นบทบาทการแสดงที่ไม่สามารถเรียกเสียงฮาได้เลย แต่หนังก็อัดดาราตลกเสริมทัพมาแน่น ทั้งตุ๊กกี้ โซเฟีย ลา,ไก่ วรายุทธ และเป๊กกี้ ศรีธัญญา ก็จัดเต็มสุดๆ ในซีนของตัวเอง มีโยชิ ที่ดังจากโลกโซเซี่ยล มารับหน้าที่ดาราหญิงหน้าสวยหนึ่งเดียวในเรื่อง น่ารักมากดูยังไง๊ก็ไม่รู้ว่ากะเทยเลยนะ
หนังอัดมุกแน่นมาก ยิงมุกมาทุกนาที ผมเป็นคนเส้นลึกนะแต่ก็ยังหัวเราะไปได้กับหลายมุก บรรยากาศในโรงหนังมีเสียงหัวเราะดังๆให้ได้ยินตลอดไม่หยุด แปลว่ามุกเข้าถึงผู้ชมส่วนใหญ่ได้ดี ถ้ามองในด้านการเจาะกลุ่มตลาดผู้ชมในวงกว้างที่เป็นแฟนดาราตลกอย่างโก๊ะตี๋ จาตุรงศ์ ก็ถือว่าทำได้สำเร็จ เครดิตตอนท้ายขึ้นว่า เขียนบทและกำกับโดย พจน์ อานนท์ ถ้านั่นหมายถึง พจน์ อานนท์ เป็นคนคิดและเขียนมุกเองทั้งหมดเพียงคนเดียว เป็นเรื่องน่าชื่นชมครับ หลายมุกแปลกใหม่และใช้ประโยชน์จากบรรดาดาราตลกเหล่านี้ได้เต็มที่ ชอบมุกหอบหืดของ สุเทพ สีใส ชอบมุกชื่อหอเรียกยาก “หออัครบดินทร์ ปรมินทร์เดชา”ที่เอามาลากเป็นมุกยาวๆได้ ถ้าเปรียบเทียบกับหนังตลกในกลุ่มเดียวกันที่เคยดูอย่าง “โป๊ะแตก” ของ หม่ำ จ๊กมก และ “บุปฝาราตรี”ภาคหลังๆ ผมว่า พจน์ อานนท์ ทำการบ้านมาดีกว่า 2 เรื่องดังกล่าว ที่ทำออกมาแบบมักง่าย เอาตลก 2-3 ตัว มาด้นสดเล่นมุกยาวๆ แล้วตัดต่อออกมากลายเป็นหนังแบบเอาเปรียบคนดูมาก
จุดด้อยมากๆของ “หอแต๋วแตก แหกนะคะ” คือคำหยาบ ที่รู้สึกได้ว่าล้นเกินไป ได้ยินคนดูบ่นกันเรื่องนี้เช่นกันหลังออกจากโรง เฮี่ย,ฎอก,ศัตว์ ถูกสบถออกมาแทบทุกนาทีของหนัง ลามไปถึงมุกที่เล่นกับคำว่า “โคย” ที่เป็นชื่อของลูกเลี้ยงเจ๊แต๋ว ถูกเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมาอยู่บ่อยครั้ง เข้าใจว่าอดีตตลกคาเฟ่พวกนี้มักหยาบ ซึ่งคำหยาบก็เป็นของคู่กันกับหนังตลก มีพอดีจะขำแต่มากเกินไปมันกระดากหูครับ หนังแบบหอแต๋วแตกจะทำรายได้มากในตลาดหนังดีวีดีและตอนฉายออนไลน์ เพราะเข้าถึงผู้ชมตามบ้านมากกว่า นั่นหมายถึงเด็กๆจะซึมซับว่าคำหยาบพวกนี้ฮา เท่ และน่าเอาอย่าง
หนังเขียนเส้นเรื่องไว้บางๆ มาก เพียงเพื่อสร้างสถานการณ์ที่จะหยอดมุกต่างๆ นาๆ ลงไปได้ ฉะนั้นอย่าไปใส่ใจเหตุผลต่างๆ ที่มาที่ไปของตัวละครทั้งสิ้น ผีซ่อนกลิ่น ผีร้ายประจำภาคนี้ถูกออกแบบภาพลักษณ์ออกมาได้น่ากลัวดี แต่เมื่อเป็นผีในหนังตลกก็เลยไม่มีสักฉากที่เงียบลุ้นรอผีโผล่ แล้วก็เล่นมุกเดิมๆ ให้ผีซ่อนกลิ่นพุ่งใส่จอพร้อมเสียงผ่างดังๆอยู่หลายหน ตกใจจริงครับ แต่โคตรไร้ชั้นเชิงเหมือน ดูคลิปแกล้งผีหลอกตกใจที่ส่งกันตามโซเซี่ยล
คนดูหอแต๋วแตกเพราะหวังเข้าไปดูแล้วได้หัวเราะกับมุกจาก จาตุรงค์-โก๊ะตี๋ ก็ถือว่าหนังตอบโจทย์นี้ได้ตรงเป้าหมาย ดูจากแรงโปรโมทที่ค่ายหนังดูจะมั่นใจและเสียงหัวเราะในโรงขนาดว่าหนังจบก็ยังไม่ลุกกัน เชื่อว่าแฟนประจำจะพอใจแน่ครับ และน่าจะสานต่อไปได้อีกหลายภาค เช่นเดียวกับที่หนังก็จบแบบให้สานเรื่องราวภาคต่อไว้ได้อีก