ผลงานกำกับลำดับที่ 27ของพ่อมดฮอลลีวู้ดสตีเวน สปิลเบิร์ก และเป็นการร่วมงานครั้งที่4 กับ ทอม แฮงค์ที่มารับบทนำให้ต่อจาก Saving private ryan(1998), Catch me if you can(2002) และ The terminal(2004) จัดเป็นหนังในกลุ่มดูง่ายของสปิลเบิร์ก ไม่เครียดพาหลับแบบ Lincoln(2012) เรื่องก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มเอาใจตลาดแบบอย่าง 3เรื่องแรกข้างต้น หนังอิงเค้าโครงจากเรื่องจริงในปี 1957 ยุคสงครามเย็นระหว่างสหรัฐ และ รัสเซีย เล่าวีรกรรมของ เจมส์ บี. โดโนแวน ทนายสายประกันภัยที่โดนนายบังคับให้ว่าความให้ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับรัสเซียตามกฎหมายที่รัฐจะเอื้อสิทธิ์ในการจัดหาทนายให้จำเลย เจมส์ รับงานด้วยความไม่เต็มใจท่ามกลางเสียงคัดค้านของลูกเมีย แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพมากประสบการณ์และวาจาศิลป์ขั้นเทพ เจมส์ก็ช่วยให้ รูดอล์ฟ เอเบิล ลูกความของเขารอดพ้นโทษประหารที่ประชาชนสหรัฐต่างคาดหวัง ภาพเจมส์ ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เขากลายเป็นที่รังเกียจของสังคมอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่แล้วโอกาสกู้ชื่อของเขาก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อนักบินสอดแนมของสหรัฐ ถูกยิงตกในรัสเซีย รัฐบาลยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนเชลยทันที โดยมี เจมส์ รับหน้าที่เดินทางไปเจรจาข้อตกลงในเยอรมันตะวันออกในวันที่การแบ่งแยกดินแดนเยอรมันกำลังคุกรุ่น
เนื้อหาหนังที่เป็นการเมืองหนักๆเน้นตลาดผู้ใหญ่ในวัยทำงาน และแฟนประจำของสปิลเบิร์ก เรื่องราวของเจมส์ บี.โดโนแวน เคยจะถูกสร้างเป็นหนังแล้วเมื่อปี 1967 แต่ยังเป็นยุคสงครามเย็นอยู่เลยถูกระงับไป จนหนังมาตกอยู่ในมือของ สตีเวน สปิลเบิร์ก ในเรื่องนี้ ทอม แฮงค์ แบกรับหน้าที่แบบนำเดี่ยวโชว์ทักษะของทนายมืออาชีพต่อหน้าศาล รวมถึงวิ่งเต้นหว่านล้อมผู้พิพากษานอกศาลอีกด้วย บทพูดในศาลบางตอนก็ยกคำพูดจริงๆของ เจมส์ บี. โดโนแวนในเหตุการณ์จริงมาใช้เลย
เป็นหนังที่เดินหน้าไปด้วยบทสนทนา คุยกันทั้งเรื่อง เจมส์ คุยกับตัวละครต่างๆนาๆเยอะมาก ใช้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวลูกล่อลูกชน ลักไก่ครบ ซึ่งต้องอ่านซับไตเติ้ลให้ทันและคิดตามให้ทันถึงจะสนุกไปกับลีลาของเจมส์ได้ ตรงจุดนี้ต้องชื่นชมฝีมือของพี่น้องโคเอ็น จาก No country for old men ที่น้อยครั้งจะมารับจ๊อบเขียนบทให้ผู้กำกับอื่น น่าจะเป็นการตอบแทนที่ สปิลเบิร์ก เคยไปอำนวยการสร้าง True grit(2010)หนังของพวกเขา เรื่องราวผ่านบทสนทนา2ชั่วโมงของหนังนำไปสู่ฉากไคลแมกซ์ฉากแลกตัวประกันใน 15นาทีสุดท้าย ก็จัดว่าพอลุ้นตามได้แต่ก็ไม่ได้ชวนตื่นเต้นอะไรมากมาย
ส่วนที่น่าจดจำคือบทบาทการแสดงของ มาร์ค ไรแลนซ์ นักแสดงดีกรี 3รางวัลโทนี่อวอร์ด ที่สปิลเบิร์ก ประทับใจบทบาทการแสดงของเขาแล้วเจาะจงให้มาร์ค มารับบท รูดอล์ฟ เอเบิลเองเลย มาร์ค เล่นได้นิ่ง ดูลึกลับ แทบไม่แสดงสีหน้าอาการเลย เป็นการเล่นที่น้อยแต่สื่อได้เยอะ จนเกิดเป็นมุกต่อปากต่อคำระหว่างรูดอล์ฟ กับ เจมส์ อยู่หลายครั้ง ความสัมพันธ์บนวิกฤตการณ์ของทนายกับลูกความคู่นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ดีของหนัง การกระทำที่เป็นการตอบแทนที่ รูดอล์ฟ ทำให้เจมส์ ก็เป็นความซาบซึ้งเล็กๆที่ทำให้ยิ้มตามไปได้ หนังอยู่ในระดับมาตรฐานของสปิลเบิร์ก ที่พอดูเอาสนุกได้แต่ไม่ใช่ผลงานโดดเด่นในระดับแถวหน้าของเค้า รอดูตอนออกแผ่นดีวีดีออก ก็ไม่เสียอรรถรสครับ