Release Date
04/06/2021
ความยาว
1 ซีซัน 8 ตอน ตอนละประมาณ 40 นาที
Our score
9.5Sweet Tooth
จุดเด่น
- การเล่าเรื่องที่ฉลาด เก็บได้ครบรส ดูได้หลายวัย หนังเลี่ยงความรุนแรงแบบเปิดเผยแต่ก็เก็บบรรยากาศสยองขวัญไว้ได้พร้อมกัน ทั้งยังมีข้อคิดผ่านความใสซื่อของ กัส ที่มองโลกอย่างตรงไปตรงมา และบรรดานักแสดงที่มีเสน่ห์เล่นได้ดี
จุดสังเกต
- ฉากซีจีมีลอย ๆ บ้างบางฉาก
-
บท
9.0
-
โปรดักชัน
8.5
-
การแสดง
9.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
9.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
9.5
เรื่องย่อ: สร้างจากการ์ตูนขวัญใจผู้ชมจากค่ายดีซีคอมิกส์ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นหลังวันสิ้นโลก เด็กชายครึ่งคนครึ่งกวางคนหนึ่งออกผจญภัยในโลกกว้างสุดอัศจรรย์
ซีรีส์จากทาง Netflix Original ที่ไม่ค่อยได้เห็นปะหัวโปรดักชันจากฝั่งคู่แข่งอย่าง Warner Bros. Television สักเท่าไหร่ ยิ่งว่าด้วยชื่อเจ้าของโปรเจ็กต์นี้เป็น โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) ที่พักหลังจะคุ้นตาจากผลงานหนังฝั่ง Disney เป็นส่วนใหญ่ด้วยแล้ว คงไม่ต้องพูดถึงว่าตัวซีรีส์ดัดแปลงมาจากคอมิกของค่าย DC อีก ก็คงเห็นความเป็นลูกผสมไม่แพ้พลอตของเรื่องที่ว่าด้วยมนุษย์ไฮบริดครึ่งคนครึ่งสัตว์เช่นนี้
ตัวคอมิกชื่อเดียวกันนี้ เป็นผลงานของ เจฟ เลอไมร์ (Jeff Lemire) นักเขียนหนุ่มชาวแคนาดาที่เริ่มเขียนในปี 2009 และจบลงในปี 2013 ก่อนจะมามีภาคต่อในชื่อ The Return เมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยลงให้กับทางสำนักพิมพ์ Vertigo ของค่าย DC Comics ซึ่งด้วยพลอตเกี่ยวกับโลกหลังการล่มสลายจากเชื้อไวรัส และปรากฏการณ์ประหลาดที่เด็กเกิดใหม่กลายเป็นมนุษย์พันธุ์ผสม ก็สร้างจินตนาการที่น่าตื่นตาตื่นใจให้ผู้อ่านอย่างมาก ยิ่งอยู่ใต้ปีกของสำนักพิมพ์เวอร์ติโกที่มีกลุ่มเป้าหมายแนวดาร์กเข้ม ๆ แบบเด็กโตอ่านได้ จึงมีข้อถกเถียงเชิงปรัชญาและฉากความรุนแรงแบบผู้ใหญ่เลยอัดมาได้เต็มที่
งานนี้ไปโดนใจ ทีมดาวนีย์ (Team Downey) ที่ประกอบไปด้วยสองสามีภรรยา โรเบิร์ต และ ซูซาน ดาวนีย์ ปลุกปั้นจะทำซีรีส์ลงสตรีมมิ่งช่อง Hulu ตั้งแต่ปี 2018 ก่อนจะย้ายค่ายมาต่อเงินทุนผลิตเป็นซีรีส์ 8 ตอนได้จริงกับทาง เน็ตฟลิกซ์ในที่สุดเมื่อปีที่ผ่านมา
ด้วยความที่พลอตของเรื่องว่าด้วยโลกล่มสลายจากไวรัสในอเมริกา แต่เพื่อความปลอดภัยจากการถ่ายทำในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซีรีส์จึงเลือกไปถ่ายทำในประเทศนิวซีแลนด์ และผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นความสวยงามและอลังการของธรรมชาติที่เป็นฉากหลัง ที่กลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ทำให้ซีรีส์นี้ตื่นตาตื่นใจอยู่ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกของเรื่องที่เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในป่า
นอกจากความพิถีพิถันของโปรดักชันที่ทำฉาก และถ่ายภาพจัดแสงได้สวยงามมากเรื่องหนึ่งแล้ว ที่ต้องชมต่อคืองานเทคนิคพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกส่วนที่เป็นอวัยวะสัตว์บนตัวละครนั้นทำได้เหมือนจริงมาก แม้ซีจีฉากใหญ่ ๆ จะยังมีรอยแผลฉากลอยให้เห็นบ้างแต่ก็ไม่กระเทือนสายตามากนัก โดยรวมต้องบอกว่าดีกว่ามาตรฐานเน็ตฟลิกซ์ทั่วไปเลยทีเดียว
มาส่วนที่ชอบที่สุดของซีรีส์ คงไม่พ้นการเล่าเรื่อง ที่ผู้สร้างสรรค์โปรเจ็กต์อย่าง จิม มิกเคิล (Jim Mickle) ที่เคยมีผลงานไซไฟไทม์ไลน์ซับซ้อนอย่าง ‘In the Shadow of the Moon’ (2019) ทางเน็ตฟลิกซ์มาการันตีฝีมือแล้ว เขายังทำงานร่วมกับ เลอไมร์ เขียนบทซีรีส์ออกมาแบบให้ความเคารพต้นฉบับสุด ๆ แต่ก็ยังไม่ลืมปรับให้เหมาะสมกับการฉายสตรีมมิ่งที่ผู้ชมหลากหลายขึ้นด้วย ทำให้ได้ผลงานที่ต้องบอกว่ามีครบทุกรส ไม่หม่นจนอึดอัด แต่ก็ไม่ใสอินโนเซนส์จนน่าเบื่อ
ใครได้ชมคงรู้สึกว่าอารมณ์ซีรีส์มีความหลากหลายมาก ซึ่งดูเหมือนเสี่ยงที่จะเล่าออกมาแล้วเละเทะ แต่เปล่าเลย ซีรีส์คุมธีมของแต่ละตอนได้ดีมาก บางตอนมาแนวฟีลกู้ดเรียกร้องการผจญภัย บางตอนมาแนวไซโคดราม่าได้เฉย บางตอนก็กลายเป็นแนวแอ็กชันมัน ๆ บางตอนก็เน้นบทสนทนาที่เสียดสีจิกกัดจนต้องทึ่ง อันนี้ชื่นชมจริง ๆ ว่าพาเราไปอิ่มทุกอารมณ์แล้วยังไม่เสียภาพรวมเรื่องที่ก็ยังตั้งคำถามเรื่องต่าง ๆ ในชีวิต ให้ข้อคิดแบบดีมาก ๆ น่าศึกษาวิธีการทำบทเหมือนกัน
ถ้าชอบวิธีการเล่าเป็นอันดับหนึ่ง ก็ต้องบอกว่าอันดับสองยกให้ การคัดเลือกนักแสดง และการแสดงของเหล่าตัวนำนี่ล่ะ โดยเฉพาะเจ้าหนูกวางกัส หรือจอมเขมือบของหวาน ที่เป็นชื่อเรื่อง ซึ่งได้นักแสดงเด็กอย่าง คริสเตียน คอนเวรี (Christian Convery) ที่แปลกใจมากว่าทำไมถึงเพิ่มมาแจ้งเกิดกับเรื่องนี้ คือพูดตามตรงว่ายากมากที่จะไม่หลงรักตัวละครกัสเพราะการแสดงของน้องคอนเวรีนั้น ใสซื่อ แต่ก็มีมิติที่น่าสนใจ ทั้งน่าเอ็นดู ทั้งน่าเอาใจช่วยไปพร้อมกัน คือดีมาก (และคงต้องรวมถึง กัส ตอนเด็กที่ได้นักแสดงเด็กอย่าง นิกสัน บิงลีย์ (Nixon Bingley) มาแสดงด้วย)
ส่วนนักแสดงสมทบตัวหลัก 2 คนที่เหมือนคนละด้านของมนุษย์อย่าง เจปป์ อดีตนักฆ่ากลับใจที่แสดงโดยพ่อหนุ่มผิวดำร่างบึ้กแต่ดวงตาอ่อนโยนอย่าง นอนโซ แอนโนซี (Nonso Anozie) กับ แบร์ หัวหน้ากลุ่มพิทักษ์มนุษย์พันธุ์ผสม ที่ได้นักแสดงเด็กมากฝีมืออย่าง สเตฟาเนีย ลาวี โอเวน (Stefania LaVie Owen) มารับบท ถึงด้านภาพลักษณ์จะดูคอนทราสต์จัด ๆ แต่ปรากฏว่า กลุ่ม 3 ตัวละครนี้เคมีโดยรวมดีมาก และน่าสนใจทีเดียวเวลาที่เกิดข้อขัดแย้งเบา ๆ ในกลุ่ม เพราะแต่ละคนก็เป็นตัวแทนทัศนคติแบบที่เราเห็นทั่วไปของมนุษย์ซึ่งมองคนละมุม แล้ว กัส ก็เป็นเหมือนความบริสุทธิ์ที่พูดถึงทุกอย่างได้อย่างไร้อคติจนเราสะอึกในความคิดของเราในบางครั้งทีเดียว
และแม้ตัวเรื่องจะเล่าถึงการเดินทางข้ามอเมริกาตามหาแม่ของเจ้าหนูกัส แต่ซีรีส์ก็ยังตัดสลับเหตุการณ์อีก 2 เหตุการณ์ที่น่าสนใจและเปลี่ยนรสของซีรีส์ได้สนุกมากด้วย เพราะในทางหนึ่งจะเล่าเรื่องราวของอดีตนายแพทย์เชื้อสายอินเดียนามว่า สิงห์ แสดงโดย อาดีล อักห์ทาร์ (Adeel Akhtar) ที่ผ่านผลงานสายคอมเมดีมาหลายเรื่องแต่ในเรื่องนี้กลับต้องรับบทดราม่า ที่ต้องอยู่ก้ำกึ่งทางเลือกเป็นคนดีหรือคนเลวได้น่าสนใจ เพราะมีชีวิตของภรรยาสุดรักที่ติดเชื้ออยู่ในกำมือด้วย
ส่วนตัวชอบพาร์ตของคุณหมอสิงห์นี่มาก ตั้งแต่การหวาดระแวงคนติดเชื้อของคนในชุมชนที่หมออยู่ ซึ่งมีทั้งความเหน็บจิกกัดและความสยองแบบหนัง จอร์แดน พีล (Jordan Peel) อยู่ในที เป็นพาร์ตที่ทำให้เรารู้ว่าซีรีส์นี้ไม่ได้ใส ๆ และเบื้องหลังความฟีลกู้ดของฝั่งกัส นั่นคือยังมีความดาร์กที่ซีรีส์เล่าผ่านอ้อม ๆ โดยไม่ต้องเห็นภาพความรุนแรงเลยซ่อนอยู่อีก
อีกพาร์ตหนึ่งที่ซีรีส์ตัดสลับไปเล่าอยู่บ่อยครั้ง คือเรื่องราวของ เอมี สาวนักจิตวิทยาที่รู้สึกว่าการล่มสลายของสังคมคือการได้เป็นอิสระจากชีวิตในห้องสีเหลี่ยมแสนน่าเบื่อ นำแสดงโดย ดาเนีย รามิเรซ (Dania Ramirez) นักแสดงสาวที่มีผลงานมาหลากหลายแนว ตัวละครเธอดูเหมือนจะเริ่มดูน่าสนใจขึ้นเมื่อได้พบกับโชคชะตาใหม่ที่เดินทางมาหาเธอถึงหน้าสวนสัตว์ที่เธอเข้ายึดครอง พาร์ตนี้อาจไม่ได้น่าสนใจมีเสน่ห์แบบของตนเองมากนัก แต่กลับเป็นส่วนเติมเต็มและต่อเชื่อมเส้นกับพาร์ตอื่น ๆ ให้ซีรีส์มีความกลมมากขึ้น โดยเฉพาะการทำให้เห็นโฉมหน้าของกลุ่มลาสต์แมนที่ออกไล่ฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์ได้ชัดเจนขึ้น หลังจากโปล่มาเป็นระยะ ๆ ตลอดเรื่องแล้ว
นอกจากนั้นที่รู้สึกอีกคือ ซีรีส์เลือกเพลงได้มีพลังเหมาะกับอารมณ์ของเรื่องในแต่ละตอนดี และเสียงบรรยายในเรื่องที่ได้ เจมส์ โบรลิน (James Brolin) นักแสดงรุ่นเก๋ามาบรรยาย ทำให้ได้กลิ่นแบบนิทานที่ฟังแล้วอุ่นใจเหมือนมีญาติผู้ใหญ่มาเล่าให้ฟัง
สิ่งที่น่าเสียดายคงมีเพียงอย่างเดียวสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ คือ จบตอนสุดท้ายได้ค้างคามาก เราคงต้องรอกันอีกระยะกว่าจะได้รู้ชะตากรรมของตัวละครแต่ละตัวที่ตอนนี้ก็พีค ๆ กันทั้งนั้นเลยทีเดียว