เป็นบอนด์ เรื่องที่ 4 ของ แดเนี่ยล เครก เท่ากับว่าเค้าเป็น บอนด์ 4 ครั้งเท่ากับ เพียร์ซ บรอสแนน แต่มีข่าวว่า เครก เซ็นสัญญาเป็นบอนด์ ใน bond 25 แล้ว, ใน spectre บอนด์ ทำงานภายใต้บังคับบัญชาของ เอ็ม คนใหม่ที่รับบทโดย ราล์ฟ ไฟนส์ แต่ บอนด์ ยังแอบทำภารกิจลับตามคำมอบหมายของ เอ็ม คนเก่าให้ตามเก็บวายร้ายที่เป็นคู่แค้นเก่า บอนด์ ตามเบาะแสคนร้ายจนไปเจอองค์กรลับที่ชื่อ spectre และเป็นเครือข่ายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังแผนก่อการร้ายทั่วโลกและเป็นผู้ชักใยบรรดาวายร้ายในภาคก่อนๆ ของบอนด์ หนังเล่าเรื่องแบบเน้นเอาใจสาวกบอนด์ ดั้งเดิม กล่าวถึง ตัวละคร ในภาคก่อน ๆ และอ้างอิงเรื่องราวใน skyfall อยู่มากถ้าคนไม่เคยดูภาคก่อน หรือดูแล้วลืมอาจจะมีงงได้
จากความสำเร็จของ skyfall ที่ยกระดับหนัง บอนด์ ขึ้นไปสูง ทั้งเสียงวิจารณ์และรายได้แบบก้าวกระโดด ทำให้ทีมผู้สร้างต้องอ้อนวอนขอร้องให้แซม เมนเดส กลับมากำกับในภาคนี้ เป็นการทำงานภาคต่อครั้งแรกของ แซม เมนเดส เขาต้องทำงานบนความคาดหวังสูงทั้งเจ้าของหนังและคนดู โซนี่ พิคเจอร์ มั่นใจขนาดเทงบสร้างให้สูงถึง 350 ล้านเหรียญ สูงสุดในประวัติศาสตร์หนังบอนด์ ทำให้ spectre เป็นภาคที่อัดฉากแอ็คชั่นเยอะมาก ใส่กันแรงตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง ผมชอบฉากต่อสู้ของบอนด์ กับ เดฟ บอทิสตา นะ อีกหนึ่งนักมวยปล้ำที่มารับบทตัวร้ายในภาคนี้ ที่ได้ฉากต่อสู้มือเปล่ากันยาวๆ กับบอนด์ อัดกันดูรุนแรงน่าเจ็บ และประยุกต์เอาสิ่งของรอบตัวมาใช้แทนอาวุธกัน
หนังมีทั้งฉากตึกถล่มทลาย ขับเฮลิคอปเตอร์ ขับเครื่องบินเล็ก ขับเรือ ไล่ล่ากัน และเช่นเคย แอสตัน มาร์ติน สวยๆ ก็เอามาพังให้เสียดายเล่น แต่ทั้งหลายก็ล้วนเป็นฉากแอ็คชั่นที่อยู่ในระดับมาตรฐานหนังบอนด์ ไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจหรือรู้สึกลุ้นไปด้วย ซึ่งดูเหมือนจะพากันมาผิดทาง เจมส์ บอนด์ไม่ใช่หนังขายฉากแอ็คชั่น คนดูก็ไม่ได้คาดหวังจะมาดูฉากแอ็คชั่นถล่มทลายในหนังบอนด์ skyfall เองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะฉากแอ็คชั่น แต่ด้วยเรื่องราวที่ลงลึก ทำให้คนรู้จักตัวตนของ บอนด์ มากขึ้นเป็นจุดที่ไม่เคยถูกหยิบมาใช้มาก่อน แต่กับจุดขายอย่าง อุปกรณ์สายลับของคิว กลับถูกลดบทบาทลง เหลือแค่นาฬิกาข้อมืออันเดียว บทภาพยนตร์ spectre ถูกเขียนขึ้นใหม่ไม่ได้แปลงจากนิยายดั้งเดิมของ เอียน เฟลมมิ่ง ครั้งนี้ก็ยังพากลับไปสู่รูปแบบเดิมๆ ของบอนด์ สืบ – ซั่มหญิง – เจอหัวหน้าใหญ่ – เสียท่าโดนจับ – หนีรอด – เอาคืน กับแฟรนไชส์ที่สร้างต่อกันมาถึง 24 ภาค สิ่งที่ต้องหลีกหนีที่สุดคือคำว่า “จำเจ” ตัวอย่างที่ดีของหนังมากภาคต่ออย่าง fast และ mission impossible ก็ยังหาความแปลกใหม่ได้เจอ เรียกคนดูได้มากขึ้นรายได้ก็สูงขึ้นทุกภาค
ความแปลกใหม่ครั้งนี้คือการทำงานเป็นทีมมากขึ้น ทั้ง เอ็ม และ คิว คนใหม่ไม่ได้อยู่แต่ในสำนักงานแล้ว แต่ลุกออกมาพะบู๊กับบอนด์ด้วย ราล์ฟ ไฟนส์ เป็นเอ็ม คนใหม่ที่ดุมาก เฮี้ยบมาก ดูแล้วชวนให้นึกถึง ลอร์ดโวลเดอร์มอต์ เสียงั้น เอ็ม กับ บอนด์เป็นหัวหน้ากับลูกน้องตัวแสบที่เริ่มความสัมพันธ์แบบเคารพแต่ไม่เชื่อฟัง เพราะยังขาดความผูกพันแบบที่บอนด์ เคยมีให้กับ เอ็ม คนเก่า ก็น่าติดตามพัฒนาการความสัมพันธ์ของคู่นี้ในภาคต่อๆ ไปนะ
คริสตอฟ วอลซ์ มาสวมบทตัวร้ายในภาคนี้แทน ชิเวเทล อีจิโอฟอร์ เป็นผลงานที่ไม่น่าจดจำของคริสตอฟ เลย จากฉากเปิดตัวที่ดูลึกลับน่ากลัวในฐานะนายใหญ่สุดขององค์กร แต่ไปมากลับออกหน้าเสียมากเกิน ไม่เหลือมาด คริสตอล์ฟ วอลตซ์ ที่ลุ่มลึกใบหน้ายิ้มแต่น่ากลัวที่เขาเคยแจ้งเกิดได้สำเร็จจาก inglourious basterds
โมนิก้า เบลลุคชี่ ได้โอกาสเป็นป้าบอนด์เอาตอนวัย 50 เคยสวยจริงแต่ในปีนี้ไม่ไหวแล้วนะ ขนาดภาพมืดๆ ครึ้มๆ ก็ยังเห็นริ้วรอยแห่งวัยได้ชัดเจนนัก ลีอา เซย์ดูซ์ หน้าใหม่ที่แจ้งเกิดจากหนังเลสเบี้ยน blue is the warmest color มาเป็นสาวบอนด์ที่แตกต่างด้วยภาพลักษณ์นิยม คือไม่สวยสะดุดตา แต่ก็ยังพอแฝงให้เห็นความเซ็กซี่ในตัวได้ ก็น่าติดตามดูว่า spectre จะส่งเธอให้เป็นดาราติดตลาดได้หรือไม่
สรุปว่าเป็นภาคที่ไม่อยู่ในกลุ่มคุณภาพต้นๆ ของหนังบอนด์ แต่ไม่สร้างความผิดหวังให้กับขาประจำของ บอนด์ มีทุกอย่างที่หนังบอนด์ เคยมี และมีมากเสียด้วย กับความยาวโคตรถึง 2 ชั่วโมง 28นาที