เชื่อว่าแฟน ๆ หนังในแฟรนไชส์ The Conjuring ต่างกำลังรอคอยการมาถึงของ The Conjuring: The Devil Made Me Do It ปฏิบัติการครั้งที่ 3 ของคู่สามีภรรยา เอ็ดและโลเรน วอร์เรน (Ed and Lorraine Warren) ที่มีกำหนดฉายในบ้านเราวันที่ 24 มิถุนายน นี้ถ้าโรงหนังได้กลับมาเปิดบริการอีกครั้งนะ ส่วนอเมริกาและหลาย ๆ ประเทศก็เข้าฉายไปแล้วตั้งแต่สัปดาห์ก่อน รอบนี้เอ็ดและโลเรน วอร์เรน ต้องเจอกับงานยาก เมื่อชายหนุ่มนามว่า อาร์นี ไชย์เอ็น จอห์นสัน (Arne Cheyenne Johnson) แทง อลัน โบโน (Alan Bono) เจ้าของบ้านเช่าจนเสียชีวิต แล้วเขาก็บอกผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ว่า ปีศาจสั่งให้เขาทำเช่นนี้
แรกเริ่มเดิมทีคดีนี้ก็ดูจะเป็นคดีฆาตกรรมธรรมดาทั่วไป เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดหตุแล้วก็สรุปคดีว่า โบโนเจ้าของบ้านวัย 40 ปี ถูกอาร์นีผู้เป็นลูกบ้านแทงด้วยมีดพกจนเสียชีวิต ผลจากการทะเลาะวิวาทกัน แต่สิ่งที่ทำให้คดีไม่ธรรมดาและถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์อเมริกันมาจนทุกวันนี้ก็เพราะ หลังอาร์นีถูกจับกุม เขาก็กล่าวอ้างเหตุผลที่หลายคนไม่อยากจะเชื่อหูว่า ปีศาจสั่งให้เขาทำ มาร์ติน มิเนลลา (Martin Minnella) ทนายจำเลยก็ใช้เหตุผลนี้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลด้วยเช่นกันว่าลูกความเขาบริสุทธิ์แต่ที่ทำลงไปนั้นเพราะอยู่ภายใต้อิทธิพลของปีศาจร้ายที่เข้าสิง พอมีเรื่องเกี่ยวกับภูติผีปีศาจเข้ามาเกี่ยวข้องในคดี ก็เลยร้อนถึงสามีภรรยานักปราบผีต้องเข้ามาตรวจสอบว่าจริงดังกล่าวอ้างหรือไม่
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาศาลได้ยอมรับความมีตัวตนของพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ มาวันนี้ศาลจะต้องยอมรับกับการมีตัวตนของปีศาจร้ายด้วยแล้ว”
ข้อความส่วนหนึ่งที่ มาร์ติน มินเนลลา กล่าวในการว่าความต่อสู้คดี
และนี่คือปรากฏการณ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของศาลอเมริกัน ที่มีการอ้างถึงภูติผีปีศาจมาใช้เป็นเหตุผลต่อสู้คดีในชั้นศาล แม้ว่าวันนี้คดีนี้จะผ่านมากว่า 40 ปี แต่ก็ยังเป็นคดีที่ถูกหยิบมาโต้เถียงกันอยู่ได้เรื่อย ๆ เพราะยังเป็นคดีที่หาข้อสรุปที่แน่ชัดไม่ได้ และในวันนี้คดีนี้ก็จะถูกหยิบมาพูดถึงอีกครั้ง เพราะกลายเป็นพล็อตหนัง The Conjuring: The Devil Made Me Do It ที่กำลังเข้าฉายในหลายประเทศ
เหตุมันเริ่มจากปีศาจ
เหตุการณ์จริงนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ปี 1981 ในเมืองบรูคฟิลด์ รัฐคอนเน็กติคัต ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีเหตุฆาตกรรม ผู้กระทำก็คือนาย อาร์นี ไขย์เอ็น จอห์นสัน ได้แทง อลัน โบโน ผู้เป็นเจ้าของบ้านจนถึงแก่ความตายด้วยมีดพกขนาด 5 นิ้ว กลายเป็นคดีฆาตกรรมครั้งแรกในรอบ 193 ปีบนผืนดินเมืองบรูคฟิลด์ และเป็นคดีที่ไม่มีใครคาดคิดว่า อาร์นีจะเป็นผู้ลงมือทำ เพราะทุกคนรู้จักอาร์นีในฐานะวัยรุ่นธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งที่ไม่มีพิษไม่มีภัย ไม่เคยมีคดีใด ๆ ติดตัวมาก่อน
แต่จะว่าไป ก่อนที่จะเกิดคดีฆาตกรรมร้ายแรงนี้ ก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดหลาย ๆ อย่างที่เริ่มส่อเค้าไม่สู้ดีมาก่อนหน้าประมาณ 1 เดือนแล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ถูกเล่าโดย มาร์ติน มินเนลลา ระหว่างแถลงการณ์สู้คดีในชั้นศาล ความตอนหนึ่งได้อ้างอิงถึง เดวิด แกลตเซล (David Glatzel) เด็กชายวัย 11 ขวบ ผู้เป็นน้องชายของ เด็บบี้ แกลตเซล (Debbie Glatzel) คู่หมั้นของ อาร์นี ไชย์เอ็น จอห์นสัน
เหตุการณ์แรกนั้นเกิดขึ้นในฤดูร้อนปี 1980 ในช่วงนั้น เดวิดเริ่มเล่าให้พี่สาวฟังซ้ำ ๆ ว่าเขาเจอชายแก่ในบ้านหลังนี้ แล้วชายแก่นี่ก็ชอบดุว่าเขา แต่อาร์นีและเด็บบีก็เข้าใจว่า เดวิดหาเรื่องอ้างที่จะไม่อยากช่วยทำงานบ้าน ก็เลยไม่เก็บเอาเรื่องที่เดวิดเล่ามาใส่ใจ แต่ว่านับแต่นั้น เดวิดก็เล่าว่าเจอชายแก่บ่อยครั้งขึ้น และถี่ขึ้น และเหตุการณ์ก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย เดวิดมักตกใจตื่นขึ้นมาร้องไห้แบบหยุดไม่อยู่บ่อยครั้ง เขาอธิบายว่ามองเห็น “ผู้ชายมีดวงตาโตสีดำสนิท ใบหน้าผอมซูบมองคล้ายสัตว์ มีฟันแหลมคม หูแหลมชี้ บนหัวมีเขา และมีขาเป็นกีบ” ถึงตรงนี้ทั้งอาร์นีและเด็บบีเริ่มจะเชื่อตามที่เดวิดกล่าวแล้ว ทั้งคู่ไม่รอช้ารีบนิมนต์บาทหลวงจากโบสถ์ใกล้บ้ามาทำพิธีปัดเป่า แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ความหวังต่อไปของอาร์นีและเด็บบีก็คือ เอ็ดและโลเรน วอร์เรน คู่สามีภรรยานักปราบผีชื่อดัง
“อาการของเดวิดเค้ามักจะเตะ กัด ถ่มน้ำลาย และสบถถ้อยคำหยาบคาย บางครั้งเขาก็หายใจไม่ออก เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบคอเขาอยู่ เขาทำท่าเหมือนพยายามดึงมือคู่นั้นออกจากคอ แต่แล้วพลังที่มองไม่เห็นนี่ก็ทำเอาเขาสลบเหมือดไปทันทีทันใด ร่างเค้าอ่อนปวกเปียกเหมือนตุ๊กตาผ้า”
สมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวแกลตเซลเล่าเหตุการณ์
พอมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวแฟนสาว อาร์นีก็เลยมาพักอยู่ที่บ้านนี้เผื่อจะคอยช่วยเหลืออะไรได้บ้าง แต่เหตุการณ์น่าขนลุกเหล่านี้ที่มักเกิดขึ้นกลางดึก เริ่มลามมาถึงกลางวันด้วยแล้ว เดวิดเริ่มเล่าว่าเขามองเห็น
“มีชายแก่หนวเคราสีขาวใส่เสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์”
ไม่เพียงแค่เห็นภาพ เดวิดยังบอกว่าเขาได้ยินเสียงประหลาดดังออกมาจากห้องใต้หลังคาอีกด้วย และในช่วงนี้ล่ะที่อาการของเดวิดเริ่มชักจะรุนแรงขึ้น เขาเริ่มส่งเสียงขู่คนรอบข้าง บางทีก็เป็นลมชัก และเริ่มมีเสียงพูดแปลก ๆ แล้วเริ่มพูดบทกวีจากหนังสือโบราณ สวรรค์ลา (Paradise Lost) ที่ดีพิมพ์ไว้ตั้งแต่ปี 1667 และพูดเนื้อความจากไบเบิล
เมื่อสามีภรรยาวอร์เรนได้ฟังเรื่องเล่า ทั้งคู่ก็ฟันธงว่าเดวิดโดนผีเข้าอย่างแน่นอน แต่จิตแพทย์ของทางการที่มาสืบสวนเรื่องราวนี้ด้วยก็เห็นแย้งว่าอาการของเดวิดเป็นพฤติกรรมส่วนหนึ่งของเด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ (Learning disorder)
แต่สามีภรรยาวอร์เรนก็ดำเนินการตามวิธีถนัดของเขา ด้วยการทำพิธีไล่ผีให้กับเดวิดถึง 3 ครั้ง โดยมีบาทหลวงมาเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด สิ่งที่ทุกคนเห็นในพิธีก็คือ ร่างของเดวิดลอยขึ้นกลางอากาศ ด่า และบางช่วงก็หยุดหายใจ แต่เรื่องที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ เดวิดทำนายว่า อาร์นี ไชย์เอ็น จอห์นสัน จะก่อคดีฆาตกรรมขึ้นในบ้านหลังนี้ เหตุการณ์เริ่มส่อเค้าในระหว่างพิธีไล่ผีในเดือนตุลาคม 1980 ระหว่างที่ปีศาจกำลังสิงร่างเดวิดอยู่นั้น อาร์นีก็ไปตะโกนใส่ร่างเดวิด บอกมันว่าให้หยุดรบกวนเดวิดได้แล้ว “แกมาเอาฉันไปแทนเลย แล้วปล่อยเพื่อนตัวน้อยของฉันซะ”
วันเกิดเหตุฆาตกรรม
อาร์นีมีอาชีพเป็น รุกขกร หรือผู้เชี่ยวชาญในการตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ ส่วนอลัน โบโน ผู้ตายนั้นเปิดคอกหมา ที่จริงแล้วทั้งคู่นี้เป็นเพื่อนที่สนิทกัน อาร์นีมักมาหาโบโนที่คอกหมาบ่อย ๆ จนกระทั่งวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1981 ที่เป็นวันเกิดเหตุนั้น เวลาประมาณ 18:30 ทั้งคู่เกิดมีปากเสียงกันรุนแรง ถึงขั้นอาร์นีควักมีดพกออกมาและชี้ไปที่โบโน ซึ่งลงเอยด้วยการที่โบโนถูกแทงไปหลายแผลที่หน้าอกและท้อง แล้วเขาก็ถูกทิ้งให้นอนหายใจรวยรินเสียเลือดจนตาย อาร์นีโดนตำรวจตามรวบตัวได้ใน 1 ชั่วโมงให้หลัง
อาร์นีย้อนเล่าเหตุการณ์ว่า เหตุสืบเนื่องจากเขาและโบโนทะเลาะกันโดยมีสาเหตุมาจากความหึงหวงในตัวเด็บบี้แฟนสาวของอาร์นี แต่คู่สามีภรรยาวอร์เรนยืนยันกับตำรวจว่าเรื่องจริงมันมีอะไรมากกว่านั้น สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่นาน อาร์นีได้ไปสำรวจบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ละแวกบ้าน เพราะเดวิดเล่าว่าเค้าเห็นร่างของปีศาจร้ายครั้งแรกแถวนี้ พอสามีภรรยาวอร์เรนรู้เรื่องนี้เข้า ก็รีบปรามอาร์นีทันทีว่าอย่าได้ไปใกล้บ่อน้ำนั้นเด็ดขาด แต่อาร์นีก็ไม่เชื่อยังไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น การทำแบบนี้เหมือนว่าอาร์นีไปท้าทายอำนาจของปีศาจร้าย ว่าจะเอาร่างของเขาไปได้จริงไหม หลังจากเขาเคยไปประกาศยั่วยุมันไว้ตอนที่ทำพิธีไล่ผี แล้วอาร์นีก็มาเล่าภายหลังว่าเขาเห็นปีศาจร้ายซ่อนตัวอยู่ในบ่อน้ำนั้นจริง ๆ แล้วเขาก็ถูกมันเข้าสิง แล้วก็ออกจากร่างเขาไปทันทีหลังจากที่สังหารโบโนแล้ว
วันพิจารณาคดี
มาร์ติน มินเนลลา ทนายของอาร์นีพยายามแก้ต่างให้ลูกความของเขาด้วยเหตุผลว่า “ไม่มีความผิดเพราะเหตุผลจากการถูกครอบงำโดยปีศาจ” ในการสู้คดีครั้งนี้ มินเนลลายังได้เชิญบาทหลวงที่ร่วมทำพิธีไล่ผีมาให้การในฐานะพยานร่วมอีกด้วย การที่มินเนลลาหยิบพิธีกรรมไล่ผีมาพูดบนชั้นศาลแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นการทำลายธรรมเนียมการพิจารณาคดีบนชั้นศาลโดยสิ้นเชิง ตลอดการพิจารณาคดีนี้ มินเนลลาและสามีภรรยาวอร์เรนโดนฝ่ายตรงข้ามพูดจาถากถางเสียดสีอยู่บ่อยครั้ง เพราะพวกเขามองว่าการกระทำของมินเนลลาและวอร์เรนนั้นเป็นการฉวยโอกาสบนความสูญเสีย
“พวกเขาแสดงละครกันได้อย่างยอดเยี่ยมมาก เป็นโชว์ที่ดีนะ”
จอร์จ เครสเก (George Kresge) นักจิตวิทยากล่าวล้อเลียน มาร์ติน มินเนลลา
สุดท้าย ผู้พิพากษา โรเบิร์ต คัลลาฮาน (Robert Callahan) ก็ไม่รับพิจารณาข้อมูลแก้ต่างของมินเนลลา ด้วยเหตุผลว่าเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถพิสูจน์ชัดได้ บวกกับหลักฐานและพยานทั้งหมดในการแก้ต่างนี้ก็ไม่สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ และถือว่าไม่ตรงประเด็น
ในการนี้มินเนลลาให้การว่ามีบาทหลวงถึง 4 ท่านได้เข้าร่วมพิธีไล่ผีทั้ง 3 ครั้ง แต่คณะบาทหลวงแห่งเขตบริดจ์พอร์ตไม่ขอยืนยันอย่างเป็นทางการ ทางหัวหน้าบาทหลวงทราบแค่เพียงว่า บาทหลวงเหล่านั้นได้พยายามช่วยเหลือ เดวิด แกลตเซล ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอยู่เท่านั้น และสุดท้าย บาทหลวงทั้ง 4 คนนั้นก็ถูกคำสั่งระงับไม่ให้เผยรายละเอียดของเหตุการณ์ดังกล่าวต่อสาธารณชน
“จะไม่มีบาทหลวงท่านใดพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว และเราขอปฏิเสธที่จะให้การ”
แถลงการณ์จาก สาธุคุณ นิโคลาส วี. กรีโค (Nicholas V. Grieco) โฆษกแห่งพื้นที่การปกครองบริดจ์พอร์ต
พอเจอทางตันแบบนี้ มินเนลลาเลยหันไปหาหลักฐานอื่นมาอ้างอิง นั่นก็คือเสื้อผ้าที่โบโนสวมใส่ในวันเกิดเหตุ มินเนลลาอ้างว่าเสื้อผ้าที่โบโนใส่นั้นแทบไม่มีเลือดให้เห็น ไม่มีรู ไม่ฉีกขาด แม้ว่าโบโนจะตายเพราะโดนมีดแทง ซึ่งมินเนลลานำหลักฐานนี้มาสนับสนุนข้อกล่าวอ้างที่ว่า อาร์นีถูกผีเข้า แต่ก็ไม่ได้ผล ไม่มีใครในศาลเชื่อข้อมูลของเขา
ในที่สุด มินเนลลาก็เหลือทางเลือกสุดท้าย คือต้องใช้คำแก้ต่างว่า “กระทำการลงไปเพราะเป็นการป้องกันตัวเอง” แต่แล้วในวันที่ 24 พฤศจิกายน 1981 ศาลก็ตัดสินให้ อาร์นี ไชย์เอ็น จอห์นสัน มีความผิดโทษฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยมีการวางเเผน ไตร่ตรองมาก่อน หรือโดยเจตนา มีโทษให้จำคุก 10 – 20 ปี แต่แล้วอาร์นีก็ได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษมาโดยตลอด ทำให้เขาพ้นโทษในระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปี
เมื่อคดีดังกลายเป็นหนัง The Conjuring: The Devil Made Me Do It
เมื่อคดีนี้ได้รับความสนใจไปทั่วสหรัฐฯ เพราะมีการกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำการฆาตกรรมเพราะถูกผีเข้า ทำให้เรื่องราวของคดีนี้ถูกนำไปเขียนเป็นหนังสือหลายเล่ม รายแรกคือ เจอรัลด์ บริตเทิล (Gerald Brittle) เขียนหนังสือในชื่อ “The Devil in Connecticut” หนังสือได้รับการตีพิมพ์เพราะได้แรงผลักดันจากตัวโลเรน วอร์เรน เอง หนังสือประสบความสำเร็จถูกพัฒนามาเป็นหนังสำหรับฉายทางทีวีเรื่อง “The Demon Murder Case”
เมื่อคดีดังกลายมาเป็นหนังสือและภาพยนตร์ ก็นับได้ว่าเป็นการสร้างรายได้ให้กับหลาย ๆ คน แต่ก็มีบางคนที่ไม่รู้สึกยินดีกับกระบวนการเหล่านี้ หนึ่งในนั้นคือ คาร์ล แกลตเซล พี่ชายของเดวิด ได้กล่าวว่าหนังสือเล่มนี้คือการรุกล้ำสิทธิความเป็นส่วนตัวของพวกเขา คาร์ลให้คำจำกัดความของการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ว่า “มันคือเจตนามุ่งร้ายที่จะสร้างความหดหู่ทางอารมณ์” คาร์ลยังกล่าวโจมตีไปถึงคู่สามีภรรยาวอร์เรนอีกด้วย ว่าเนื้อหาในหนังสือนี้กุขึ้นโดยทั้งคู่ เป็นการฉกฉวยโอกาสและรายได้จากสภาพจิตของเดวิด แกลตเซล น้องชายของเขา
ส่วนอาร์นี ไชย์เอ็น จอห์นสัน นั้นก็แต่งงานกับเด็บบี แกลตเซล ตั้งแต่ยังอยู่ในคุก หลังพ้นโทษออกมาในปี 1986 เขาก็ไปใช้ชีวิตคู่กันอย่างมีความสุขจวบจนทุกวันนี้ ส่วนเด็บบี แกลตเซล หลังจากผ่านโศกนาฏกรรมที่เกี่ยวกับภูติผีนี้มา เธอก็เริ่มให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติอย่างจริงจัง เธอให้ความเห็นว่า ความผิดพลาดที่สุดของอาร์นีก็คือการไปท้าทายอำนาจของปีศาจตอนที่เดวิดถูกเข้าสิง
“คุณไม่ควรก้าวล้ำไปในจุดนั้น คุณไม่ควรลองดีกับปีศาจ แล้วอาร์นีก็เริ่มแสดงอาการให้เห็นเหมือน ๆ กับที่เดวิดเป็นตอนที่ถูกเข้าสิง”
แม้ว่าเหตุการณ์สยองนี้จะผ่านมาแล้วกว่า 40 ปีก็ตาม เแต่ก็นับว่านี่เป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่มีประจักษ์พยานรู้เห็นมากสุดเหตุการณ์หนึ่งที่ได้เผยแพร่ออกสู่สาธารณชน หลังจากถูกนำมากล่าวอ้างบนชั้นศาล และนับว่าเป็นคดีใหญ่ระดับชาติที่คู่สามีภรรยาวอร์เรนตัวจริงได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างมาก แน่นอนว่าเมื่อเรื่องราวถูกดัดแปลงไปเป็นภาพยนตร์ก็ย่อมมีการเสริมแต่งเข้าไปเพื่อความบันเทิง แต่เนื้อหาช่วงต้นที่เกิดเหตุฆาตกรรมนั้น ก็ถือว่ามีการเล่าที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาตามที่เหตุการณ์จริงได้ถูกบันทึกไว้