ผ่านมา 21 ปี กับหนังทั้งหมด 9 เรื่อง (รวมตอนแยก ‘Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw’) ก่อนจะมาถึงหนังหลักเรื่องที่ 9 – ‘F9’ หนังชุด ‘Fast & Furious’ ไม่ใช่แค่ผ่านเวลามายาวนาน แต่ยังผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งในจอและนอกจอ แต่สิ่งหนึ่งที่หนังไม่เคยเปลี่ยนเลยก็คือ การที่ต้องมีฉากซิ่งรถมัน ๆ ที่มาพร้อมสถานการณ์สุดระทึก และนี่คือฉากเหล่านั้น ที่หลาย ๆ คนจดจำได้ไม่ลืมเลือนจากหนังตอนหลักแต่ละภาค
ซิ่งทางตรงจุดเริ่มต้นมิตรภาพ: ’The Fast & The Furious’ (2001) หรือ Drag Race หรือ Quarter Mile ซึ่งเป็นการปล่อยรถ 2 คันแข่งกันบนทางตรงยาว 402 เมตร ที่คงไม่หวือหวาแล้วหากเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องต่อ ๆ มา แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ในหนังที่มีฉากเด็ด ๆ อย่าง ฉากซิ่งรถในตอนแรก ที่ทำให้รู้สึกถึงความ ‘แรง’ ของเครื่องยนต์กับคนที่อยู่หลังพวงมาลัย และเปิดโลกของ ‘Fast & Furious’ ให้ได้รู้จัก หรือ ฉากฉกของจากรถบรรทุก เชื่อได้ว่า ไม่มีแฟนหนังชุดนี้คนไหน ลืมฉากดวลตอนท้ายของ โดมินิก ‘ดอม’ ทอเร็ตโต (Dominic ‘Dom’ Toretto) กับไบรอัน โอ’คอนเนอร์ (Brian O’Connor) ที่รับบทโดยวิน ดีเซล (Vin Diesel) และวอล์กเกอร์ตามลำดับแน่นอน เพราะนอกจากจะได้เห็นรถด็อดเจอร์ ชาร์จ ของดอม พุ่งชนรถบรรทุก แล้วพลิกข้ามรถโตโยต้า ซูพรา ของไบรอันสวย ๆ หลังทั้งคู่ซิ่งปาดหน้ารถไฟ ยังได้รับรู้ถึงจุดเริ่มต้นมิตรภาพแสนซับซ้อนของพวกเขา ที่เป็นศูนย์กลางของหนังในเวลาต่อมา
ขับรถลงเรือ (ยอชต์): ‘2 Fast 2 Furious’ (2003) ไม่มีดีเซล มีแค่วอล์กเกอร์ที่กลับมารับบทเดิม แต่ได้ไทรีส กิบสัน (Tyrese Gibson) เข้ามาเสริมทีมในบท โรมัน (Roman) และอยู่กับหนังชุดนี้จนถึงปัจจุบัน แม้จะขาดกำลังสำคัญแต่หนังก็ยังมีฉากจำที่ยากจะลืมเลือน เมื่อทั้งคู่ขับรถคาเมโร จากท่าจอดเรือ พุ่งเข้าชนเรือยอชต์หรู ซึ่งเป็นทั้งการแก้ปัญหาของตัวละครในเรื่อง และเป็นการคารวะซีรีส์สุดฮิตจากยุค 80s ‘The Dukes of Hazzard’ ในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าหนังไม่ได้มีฉากเด็ด ๆ แค่ฉากนี้ ฉากไบรอันพารถข้ามสะพานเปิดในตอนแรกก็เยี่ยม แต่ก็เหมือนเป็นการอัปเดตฉากซิ่งเปิดเรื่องของภาคแรกซะมากกว่า และการที่เรื่องของหนังเกิดขึ้นที่ไมอามี ท้องทะเล-เรือยอชต์-ท่าจอดเรือ คือองค์ประกอบที่ต้องมี
เรียนขับรู้จักดริฟต์: ‘The Fast and the Furious: Tokyo Drift’ (2006) มีลักษณะของงานในจักรวาลภาพยนตร์มากกว่าภาคต่อ และมาในตอนที่โลกยังไม่รู้จักจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลหรือดีซี เป็นอีกสิ่งที่มาก่อนกาลของหนังชุดนี้ แต่เพราะไม่มีนักแสดงหลักจาก 2 ภาคแรกกลับมา ทางออกก็คือ เปิดตัวละครใหม่ ฌอน บอสเวลล์ (Sean Boswell) ที่รับบทโดยลูคัส แบล็ก (Lucas Black) เด็กหนุ่มอเมริกัน ที่ไปเป็นคนนอกในโลกรถซิ่งที่แตกต่างของญี่ปุ่น เมื่อเป็นการแข่งโดยมีเทคนิคการดริฟต์ (Drift) เป็นองค์ประกอบสำคัญ และฉากจำของหนังก็คือ การเรียนดริฟต์ของนักซิ่งตาน้ำข้าวอย่างฌอน ที่ฮาน (Han) ของซุงกัง (Sung Kung) เป็นคนสอน ที่เริ่มจากไม่ประสีประสา พัฒนาขึ้นจนเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด หนังมีโทนที่แตกต่างจากหนังภาคก่อน ๆ ทั้งบรรยากาศ และอารมณ์ขัน ดูเป็นหนังวัยรุ่น และดูผ่อนคลายมากกว่า ส่วนฉากเปิดซึ่งเป็นฉากซิ่งเครื่องหมายการค้าของหนังชุดนี้ในตอนนั้น ก็มันเข้าไส้ และมีโทนที่ต่างไปจากเดิมเช่นกัน
มุดซ้ายปาดขวาในอุโมงค์ข้ามแดน: ‘Fast and Furious’ (2009) หนังได้ดีเซลกับมิเชลล์ ร็อดริเกวซ (Michelle Rodriguez) ที่รับบทเล็ตตี (Letty) แฟนสาวของดอมกลับมา ที่ในฉากหนึ่งของหนัง ซึ่งทั้งคู่ต้องไปปล้นรถขนน้ำมันในสาธารณรัฐโดมินิกัน แล้วจบลงด้วยการซิ่งรถหลบถังน้ำมันติดไฟที่กลิ้งเข้ามาหา แม้จะว่าลุ้นแล้ว แต่ถ้ามองถึงความครบเครื่อง ก็ต้องเป็นฉากไล่ล่าในอุโมงค์ลับแถวชายแดนสหรัฐอเมริกา/ เม็กซิโก ที่ดอมกับไบรอันหนีบรรดาลูกสมุนของอาร์ทูโร บรากา (Arturo Braga) ที่รับบทโดย จอห์น ออร์ทิซ (John Ortiz) พ่อค้ายาที่พวกเขาลักพาตัวมา โดยนอกจากต้องลัดเลาะไปตามอุโมงค์ที่คดเคี้ยวและคับแคบด้วยความเร็ว ทั้งคู่ต้องซิ่งออกมาก่อนที่อุโมงค์จะพังทะลาย จนกลายเป็นฉากที่แสนตื่นเต้น และน่าจดจำอีกฉากของหนังชุดนี้
ฉกรถยนต์จากรถไฟ: ‘Fast Five’ (2011) ฉากเปิดของหนังตอนที่ได้ชื่อว่า เป็นตอนที่ยกระดับหนังชุดนี้ ให้เปลี่ยนจากหนังซิ่งทื่อ ๆ ไปเป็นหนัง ‘ฉก’ (Heist) ที่บอกกันตรง ๆ ตั้งแต่ฉากแรก เมื่อดอม, ไบรอัน กับมีอา (Mia) น้องสาวของดอม ที่รับบทโดยจอร์ดานา บริวสเตอร์ (Jordana Brewster) ต้องไป ‘ฉก’ รถฟอร์ด จีที 40 ปี 1965 จากขบวนรถไฟที่แล่นด้วยความเร็วสูง ซึ่งจบด้วยการโดดสู่ผืนน้ำของดอมและไบรอัน ที่ก่อนหน้านั้นต้องหาทางแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าที่ถูกโยนใส่เข้ามาไม่ยั้ง แถมยังกดดันด้วยสปีดของพาหนะ ซึ่งทีมสตันต์ทำงานที่เป็นการเล่นใหญ่ และมากไปด้วยอันตราย ได้อย่างเยี่ยมยอด จนต่อให้ผู้ชมรู้อยู่แก่ใจว่า พวกเขาต้องรอด เพราะนี่แค่ฉากแรกของหนัง ฉากนี้ก็ยังตื่นเต้น ลุ้นระทึกจนลืมหายใจได้สำเร็จ
ปล้นกลางกรุงริโอ เดอ จาไนโร: ‘Fast Five’ (2011) หลังฉากเปิดที่ว่ามัน ตื่นเต้นแล้ว หนังยังอัดฉากแอ็กชัน ฉากซิ่งใส่เข้ามาเป็นระยะ ๆ แล้วก็ปิดท้ายด้วยฉากใหญ่ ว่ากันยาว ๆ เมื่อครอบครัวของดอมต้องไปฉกเซฟที่หนักหลาย ๆ ตัน แล้วลากหนีการตามล่าของตำรวจด้วยรถด็อดจ์ ชาร์เจอร์สองคันที่เขากับไบรอันเป็นคนขับ ไปตามท้องถนนของกรุงริโอ เดอ จาไนโร ที่เซฟไปถึงไหนบรรลัยไปถึงนั่น โดยหนักไปทางรถตำรวจ และฟุตปาธข้างทาง แม้จะดูตลกแต่ก็โคตรสนุก เวอร์แต่บันเทิงสุดๆ และต่างไปจากที่เคยเห็นมาก่อนในหนังชุดนี้ จนเป็นการสร้างมาตรฐาน ‘ใหม่’ ของฉากซิ่ง-แอ็กชันให้หนังเรื่องต่อไปที่ต้องก้าวข้ามให้ได้
ดอมและผองเพื่อนปะทะรถถัง: ‘Furious 6’ (2013) หนังเรื่องที่พาขอบเขตความเวอร์หลุดไปไกลกว่าเดิม และสร้างลายเซ็นใหม่ของหนัง นั่นก็คือการสร้างฉากแอ็กชันที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่กลายเป็นที่กล่าวขวัญถึง หนึ่งในจำนวนนั้นคือฉากนี้ “เฮ้ย! เพื่อนเราต้องมีแผนอื่นแล้วว่ะ พวกมันมีรถถังโว้ย!” เทจ (Tej) ตัวละครของลูดาคริส (Ludacris) บอกกับเพื่อน ๆ ที่อยู่บนไฮเวย์ในสเปน หลังคิดว่าจัดการกับขบวนรถของโอเวน ชอว์ (Owen Shaw) ที่เล่นโดยลูค อีแวนส์ (Luke Evans) ได้อยู่หมัด ทำให้พวกเขาต้องหาทางรับมือกับพาหนะที่แสบที่สุดที่เคยพบมา (ในตอนนั้น) แน่นอนว่า ดอมกับไบรอันจัดการกับมันได้ แถมดอมยังโดดไปช่วยเล็ตตีที่… เอ่อ… บิน มาหากลางอากาศแทบจะวินาทีสุดท้าย ซึ่งเป็นอีกฉากที่หลาย ๆ คนเผลอตบเข่าฉาด หลังลุ้นจนหลังไม่ติดเบาะ จบสถานการณ์ได้สุดแสนแฮปปี สุขีสโมสร หลังความตื่นตา ตื่นใจได้สำเร็จ
ความมันบนรันเวย์ที่ ‘ยาว’ ที่สุดในโลก: ‘Furious 6’ (2013) อย่างที่บอก หนังภาคนี้พา ‘Fast & Furious’ หลุดไปจากที่เคยเป็นอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยฉากแอ็กชันเหนือจริง นอกจากฉากรถซิ่งดวลรถถัง, ฉากซิ่งในลอนดอนก็แซ่บไม่น้อย และแน่นอน ฉากแอ็กชันสุดท้ายบนรันเวย์ที่กินเวลาถึง 13 นาที โดยไม่มีช่วงเวลาหยุดนิ่ง ที่พาหนะทั้งหมดซิ่งเป็นระยะทางตรง นั่นหมายความว่า ถ้าคำนวณตามความเป็นจริง รันเวย์ในฉากนี้ต้องยาวถึง 26 ไมล์ ถึงจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่เห็น ฉากที่ยาวเหยียดทั้งเวลาและระยะทาง ซึ่งดอมกับเพื่อน ๆ ต้องช่วย มีอา และฉกของสำคัญในมือชอว์ อัดเหตุการณ์น่าตื่นตาใส่มายับ แล้วก็จบลงตรงที่พวกเขาลากเครื่องบินลำยักษ์ลงมาจากฟ้า โดยเสียสาวสวยกอล กาด็อต (Gal Gadot) ไปเพียงลำพัง แต่ไม่เป็นไร เพราะเธอเกิดใหม่แล้ว เป็นสาวมหัศจรรย์ – Wonder Woman ในเวลาต่อมา
คลิป >
รถยนต์ดิ่งพสุธา: ‘Furious 7’ (2015) ฉากนี้อาจทำให้คอหนังไทยรุ่นเก๋านึกถึง หนังเรื่อง ‘ทอง’ ที่อาหลอง-ฉลอง ภักดีวิจิตร ส่งมอเตอร์ไซค์ดิ่งพสุธา มาก่อนหน้าหลายทศวรรษ แต่เรื่องความใหญ่และอลัง เออ… ต้องยกให้ เพราะการได้เห็นรถแต่งแรง ๆ ดิ่งพสุธาลงมาจากเครื่องบินทีละคัน มันตื่นตาจริง ๆ แล้วยังใส่อารมณ์ขันเข้ามาได้อย่างเหมาะเจาะ เมื่อโรมันเกิดปอดแหก เทจเลยจัดการส่งเขาลงมาแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว แม้รถทุกคันในหนังจะลงสู่พื้นด้วยร่มชูชีพสวย ๆ แต่ถ้าติดตามเบื้องหลังการถ่ายทำ นี่ไม่ใช่ฉากที่สุดเจ๋งของหนังแค่นั้น แต่ยังเป็นการทำงานสุดเฟี้ยวของทีมออกแบบฉากแอ็กชัน และแน่นอนงานสตันต์
ใครว่ารถบินไม่ได้: ‘Furious 7’ (2015) “รถบินไม่ได้นะโว้ย!” ไบรอันแหกปากออกมาในฉากสำคัญกลางเรื่อง ที่เขากับดอมบุกรัง เด็กคาร์ด ชอว์ (Deckard Shaw) ที่รับบทโดยเจสัน สเตทแฮม (Jason Statham) บนตึกระฟ้ากลางกรุงอาบูดาบี เพื่อฉก ’เนตรเทวดา’ ซึ่งอยู่ในรถหรู ไลแคน ไฮเพอร์สพอร์ต ที่มีแค่ 7 คันในโลก แถมราคาสูงถึง 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นรถราคาแพงสุดอันดับ 3 ของโลกตอนนั้น ทั้งคู่พังปาร์ตีหรูของชอว์ยับ ก่อนจะซิ่งรถที่หรูกว่า พุ่งจากตึกหนึ่งไปสู่ตึกหนึ่งและอีกตึกหนึ่ง ด้วยความสูงจากพื้นดินเป็นร้อยชั้นแบบสวย ๆ แม้จะเหนือจริง แต่ก็ผู้ชมก็อดทึ่งไม่ได้ แม้จะต้องร่วงสู่พื้น แต่รถราคาแพงคันนี้ก็อาละวาดส่งท้ายด้วยการกวาดรูปปั้นทหารจิ๋นซี ที่มาเปิดแสดงในชั้นหนึ่งของตึกเรียบวุธ นอกจากเป็นฉากจำของหนังภาคนี้ ฉากนี้ยังเป็นฉากจำสุดท้ายของพอล วอลก์เกอร์ในหนังชุด ‘Fast & Furious’ เมื่อเขาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ระหว่างพักกองถ่ายทำ
รถสั่งได้: ‘The Fate of the Furious’ (2017) สมเป็นตัวร้ายที่แสบที่สุด ที่มีทั้งสมอง ของไฮเทก และความบ้าระห่ำ ไซเฟอร์ (Cipher) ที่รับบทโดยชาร์ลิซ เธอรอน (Charlize Theron) กับลูกทีมจัดการแฮกระบบควบคุมสารพัดรถในแมนฮัตตันคราวเดียวเป็นร้อย ๆ คัน จนเป็นรถที่เธอสั่งได้ เพื่อให้ไล่ล่าเป้าหมายไม่ต่างไปจากซอมบี้ในหนัง ‘World War Z’ แต่เป็นฝูงรถยนต์ไร้คนขับ ทั้งไล่ตาม ทั้งร่วงหล่นจากลานจอดบนตึกราวกับห่าฝน กลายเป็นฉากแสนโกลาหลบนถนน ที่เล่นก๊วนของดอมหัวปั่น ส่วนคนดูนั้น ถึงกับอ้าปากหวอ
ฉากเปลี่ยนวิถีทอร์ปีโดด้วยมือเปล่า ใน ‘The Fate Of The Furious’ (2017) ถึงตอนนี้ แก๊งซิ่งของดอมไม่ต่างจากทีมสายลับของอีธาน ฮันต์ (Ethan Hunt) ในหนังชุด ‘Mission: Impossible’ แถมเหนือกว่าด้วยความสามารถระดับซูเปอร์ฮีโร หลังฉากแอ็กชันเวอร์วังยกระดับตามเลขภาค ฉากใหญ่ตอนท้ายที่ลากกันยาว ๆ เช่นเคย ก็ทำให้อุทาน ‘เฮ้ย!’ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้กี่ครั้ง เมื่อดอมแอนด์โคขับรถหนีการไล่ล่า (ตามเคย) บนผิวน้ำที่เป็นน้ำแข็ง แล้วเรือดำน้ำของไซเฟอร์ก็ยิงทอร์ปีโดใส่ แต่การขับรถหลบคงธรรมดาไปและโลกไม่จำ ฮ็อบบ์ (Hobb) ที่เล่นโดยดเวย์น ‘เดอะ ร็อก’ จอห์นสัน (Dwayne ‘The Rock’ Johnson) เลยออกมายืนบนพื้นน้ำแข็ง มือหนึ่งจับตัวรถที่แล่นด้วยความเร็ว แล้วใช้อีกมือเปลี่ยนทิศทางทอร์ปีโด ที่ต่อให้ฉากเรือดำน้ำเหล่าร้ายถูกจมด้วยขีปนาวุธตรวจจับความร้อน ที่ยิงมาจากเรือดำน้ำเอง จะใหญ่แค่ไหนก็กลบไม่สำเร็จ และนับจากนี้ในหนังเรื่องหน้า ถ้าพวกเขาจะบินได้ บุกอวกาศ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจอีกต่อไป
อ้างอิง, อ้างอิง, อ้างอิง, อ้างอิง, อ้างอิง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส