ผลงานกำกับลำดับที่ 23 และเป็นหนังเรื่องที่ 6 ของ รอน โฮเวิร์ด ที่สร้างจากเรื่องจริง รอบนี้ย้อนไปเล่าเหตุการณ์ในปี 1820 ที่มาของนิยายดังเรื่อง Moby Dick ที่เรารู้จักกันตั้งแต่เด็กว่าเป็นเรื่องราวของ ปลาวาฬยักษ์ดุร้าย แต่ใน In The heart Of The Sea ย้อนกลับไปไกลขึ้นอีกเล่าเรื่องราวในคืนที่ เฮนรี่ เมลวิลล์ ผู้ประพันธ์โมบี้ ดิ๊ค ได้ไปขอร้องให้ โธมัส นิคเคอร์สัน ผู้รอดชีวิตคนเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่จากเรือล่าวาฬนาม “เอสเส็กซ์”โธมัส ในวัยชรากล้ำกลืนกับการหวลอดีตอันโหดร้ายในวัย 14 ที่เขาอยากลืม เพื่อเล่าให้ เฮนรี่ ฟังเพื่อที่เขาจะนำไปเป็นพล็อตในนิยายเรื่องใหม่
หนังดำเนินเรื่องผ่านคำบอกเล่าของ โธมัส ถึงอดีตเมื่อเขาอายุ 14 ของเขา (ได้ ทอม ฮอลแลนด์ สไปเดอร์แมนคนล่าสุดมารับท) โธมัส ได้ร่วมเป็นลูกเรือ เอสเส็กซ์ ได้พบกับ โอว่น เชส ต้นเรือมากประสบการณ์ และ จอห์น พอลลาร์ด กัปตันมือใหม่ ทั้งสองเป็นคู่กัดที่ไม่ลงรอยกันตลอดการเดินทาง ภารกิจของเรือ เอสเส็กซ์ คือล่าปลาวาฬเอาไขมันกลับมาให้ได้ 2,000 บาร์เรล (1 บาร์เรล = 159 ลิตร) ในยุคนั้นยังไม่รู้จักน้ำมันดิบ พลังงานจากไขมันปลาวาฬจึงเป็นสิ่งมีค่ามาก ครึ่งแรกของหนังหนักไปกับการแนะนำตัวละคร และปูบรรยากาศขุ่นมัวในความสัมพันธ์ของต้นเรือและกัปตัน โชว์ความโหดร้ายของลูกเรือในการล่า วาฬ พอเข้าครึ่งหลังอารมณ์หนังก็วิ่งขึ้นสูงเมื่อ วาฬยักษ์ ปรากฎตัวกับซีนลากยาวที่โชว์ความน่ากลัวของมันในการบดขยี้เรือเอสเส็กซ์แบบง่ายดาย วาฬยักษ์ ไม่ได้โผล่มาบนจอมากอย่างที่คาด แต่การโผล่มาของมันแต่ละครั้ง ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ตรึงให้เราอยู่กับหน้าจอลุ้นไปกับชะตากรรมของลูกเรือได้ทุกครั้ง In The Heart Of The Sea จึงเป็นหนังที่เน้นหนักไปกับการผจญภัยของลูกเรือ เอสเส็กซ์ ที่เจอวาฬยักษ์ เรือแตก และลอยคอเอาชีวิตรอดกัน โดยมี วาฬยักษ์ ทำหน้าที่เป็นสีสันของเรื่องราว หนังไม่ถึงกับเป็นเรื่องเล่ายาวตลอด 2 ชั่วโมง แต่ยังคงมีสลับพักอารมณ์กลับมาที่ โธมัส ในวัยชรา ที่แสดงถึงความกระอักกระอ่วนระหว่างเล่าเรื่องและอยากจะหยุดเล่าอยู่บ่อยครั้ง
ชอบหลาย ๆ อย่างในเรื่องนี้ อย่างแรกคือประสิทธิภาพงานซีจีที่เสกสรรภาพวาฬยักษ์ออกมาได้น่าเกรงขาม ด้วยการลงรายละเอียดให้เห็นแผลเป็นหยาบกร้านทั่วตัววาฬ แค่เพียงเห็นร่องรายบาดแผลก็แทนคำบอกเล่าวีรกรรมของตัวมันได้มากมาย โดยไม่ต้องให้ตัวละครมาบรรยายอะไรถึงวีรกรรมของมัน
ชอบงานเมคอัพบรรดาตัวละคร ในสภาพหลังลอยเรือมาแล้ว 90 วัน งานเมคอัพเนียนมากขนาดโคลสอัพให้เห็นได้ใกล้ ๆ ทั้งผิวที่ไหม้แดด ฝ้า กระ เต็มหน้า หนวดเครารุงรัง และที่สำคัญความทุ่มเทอย่างน่าชื่นชมที่พบเห็นได้บ่อยกับนักแสดงฮอลลีวู้ดในการลดน้ำหนัก เรื่องนี้ คริส เฮล์มเวิร์ธ ลดน้ำหนักเอง ด้วยการกินอาหารวันละ 500 แคลอรี่ จนรีดน้ำหนักลงได้ 15 กิโลกรัม
ชอบความสัมพันธ์ของ ต้นหน กับ กัปตัน ที่เขม่นกันมาทั้งเรื่อง โอเว่น ผิดหวังที่เขาไม่ได้เป็นกัปตัน และไม่เต็มใจที่ต้องมาเป็นลูกน้องให้กัปตันมือใหม่แต่อวดดี ในขณะที่ พอลลาร์ด เกิดมาในตระกูลผู้ดีถูกปลูกฝังมาให้ผยอง จึงพยายามจะกดข่ม โอเว่น ที่เป็นลูกชาวไร่ให้ยอมรับตัวเองอยู่ใต้อาณัติ แต่เมื่อผ่านวิบากกรรมมาด้วยกันต่างก็ซื้อใจและห่วงใยกัน เป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใช้เวลา และรู้สึกสมเหตุสมผล บทกัปตัน พอลลาร์ด ได้เบนจามิน วอล์คเกอร์ มารับบท เขา เคยได้รับบทนำใน Abraham Lincoln: Vampire Hunter (2012) แล้วก็หายไปเลย ภาพลักษณ์เขาเหมาะกับหนังโบราณแนวนี้ แล้วก็ดูมีมาดผู้ดี ทำให้เขาได้บทนี้จากคู่แข่งอย่าง เบเนดิค คัมเบอร์แบทช์ , ทอม ฮิดเดิลสตัน และ เฮนรี่ คาวิลล์ แต่ละคนนี่ ซูเปอร์ฮีโร่ทั้งนั้นเลยนะ
อีกอย่างที่ประทับใจคือ การไม่ได้วางบทบาทของ วาฬ ให้เป็นอสุรกายตัวร้าย ถึงแม้ช่วงท้ายมนุษย์จะเป็นฝ่ายที่ถูกโจมตีจนตายไปบ้าง แต่หนังให้เราเห็นภาพวีรกรรมอันโหดร้ายของมนุษย์ที่กระทำต่อวาฬ ด้วยสีหน้าอารมณ์สนุกสนานฮึกเหิมกับการไล่เอาฉมวกเขวี้ยงใส่แม้กระทั่งวาฬแม่ลูกอ่อน วาฬยักษ์นั้นอยู่ในที่ทางของมัน แต่เพียงทำหน้าที่ปกป้องและเอาคืนมนุษย์ที่ไปรุกล้ำรังแกมันก่อน และที่ชอบมากคือซีนไคลแมกซ์ท้ายกับการเผชิญหน้าอีกครั้งระหว่าง โอเว่น กับ วาฬยักษ์ การตัดสินใจของโอเว่นที่ลงเอยอย่างสวยงามแต่แฝงข้อคิดได้ดี หนังยังมีสาระข้อคิดอีกมากทั้งเรื่อง ศีลธรรม วรรณะ และความซื่อสัตย์ โดยไม่ต้องเน้นจนเกินไปแต่ก็สื่อได้ถึงคนดู เป็นหนังที่สนุก ซีจี เมคอัพ เนียนกริ๊บ ได้ทั้งสาระและความบันเทิงครับ