เห็นภาพใบปิด รัสเซล โครว์ เป็นพ่อกับลูกสาวตัวเล็ก ๆ และอ่านเรื่องย่อก่อนไปดู บวกกับชื่อ กาเบรียล มุซซิโน ผู้กำกับที่เคยทำหนังเรียกน้ำตามาแล้วใน “The Pursuit Of Happyness” (2006) ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลยว่ามันต้องเศร้าแน่ ๆ ผมเป็นคนดูหนังแล้วร้องไห้นะก็เปิดใจรับว่าคงได้น้ำตาไหลแน่กับเรื่องนี้ แต่แล้วก็…………..เปล่า ไม่แม้เพียงนิด
รัสเซล โครว์ รับบท เจค เดวิส นักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ในยุค 80s เขามีปากเสียงรุนแรงกับเมียขณะขับรถเป็นผลให้รถเกิดอุบัติเหตุเมียตาย ส่วนเจค หัวกระทบกระเทือนอย่างหนักส่งผลให้เขาเป็นโรคลมชักเรื้อรัง เจค จึงต้องดูแลเคธี่ ลูกสาววัย 8 ขวบเพียงลำพัง เขาต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลระยะยาวซึ่งส่งผลกระทบกับสภาวะการเงินของเขาทันที ลุงกับป้ายื่นข้อเสนอขออุปการะส่งเสียแคธี่ แต่เจคก็ปฎิเสธข้อเสนอ ยืนกรานจะต่อสู้เลี้ยงดูลูกสาวให้ได้ หนังตัดฉับกระโดดไป 25 ปีข้างหน้า ให้เรารู้จักแคธี่ ที่วันนี้เธอเป็นนักจิตวิทยาปริญญาเอก ทำงานให้รัฐคอยดูแลเด็กที่มีปัญหาทางจิต ขณะเดียวกันตัวเธอก็มีปัญหาเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝนกลัวการตกหลุมรักเลี่ยงชีวิตคู่ พอใจกับการเปลี่ยนคู่นอนไปวัน ๆ หนังตั้งโจทย์ให้คนดูทันที เกิดอะไรขึ้นกับ 25 ปีที่ผ่านมา เจค ต่อสู้เลี้ยงดู แคธี่ มาได้อย่างไรและเหตุการณ์อะไรทำให้ แคธี่ ถึง กลายเป็นแบบนี้ หนังพาเราไปหาคำตอบด้วยการตัดสลับเรื่องราวในชีวิตวันนี้ของแคธี่ กับ เรื่องราวของเธอกับพ่อในอดีต
หนังออกสตาร์ทได้ดีกับการสร้างโจทย์น่าติดตามและการประเคนอุปสรรคต่าง ๆ นา ๆ เข้ามาใส่ เจค ทั้งเรื่องลมชัก ความล้มเหลวของนิยายเรื่องใหม่ โดนลุงป้าฟ้องร้องต้องหาเงินจ้างทนาย ทุ่มเทเวลาในการเขียนนิยายเรื่องใหม่ทำให้ไม่มีเวลาในการเลี้ยงดูแคธี่ บวกกับปัญหาของแคธี่ตอนโต ที่กำลังเริ่มต้นสานสัมพันธ์กับ คาเมรอน หนุ่มนักเขียนที่ยกย่องเทอดทูนผลงานของพ่อเธอ สารพัดอุปสรรคที่ดาหน้าเข้ามาทำให้เรื่องราวของหนักค่อนข้างหนัก คนดูเกาะอยู่กับหนังได้เพราะเอาใจช่วยทั้งพ่อลูกให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้ แต่เมื่อเข้าครึ่งชั่วโมงท้าย หนังก็ทยอยคลี่คลายแต่ละอุปสรรคแบบง่ายดาย จนรู้สึกว่า “เฮ่ย! เอาง่าย ๆ เงี้ยเลยเหรอ” แม้กระทั่งปัญหาชีวิตของแคธี่ ที่หนังดูจะขับเน้นเป็นพิเศษก็ลงเอยง่ายดายเช่นกัน และ 116 นาทีก็ไม่ได้ตอบโจทย์ว่าทำไม แคธี่ ถึงกลัวการตกหลุมรัก ถ้าจะมองว่าเพราะเธอรักพ่อมากเลยกลัวการสูญเสียอีกครั้ง ก็ยังไม่ชัดเจนนัก กลายเป็นหนังปูเรื่องราวมาดี แต่ก็ตัดสรุปจบแบบห้วน ๆ ง่าย ๆ หักอารมณ์เกินไปนัก
หนังได้ทีมนักแสดงแข็ง ๆ มาร่วมงานมาก กลายเป็นจุดดีของหนังและเหมาะสำหรับคนดูที่ชอบหนังขายการแสดง รัสเซล โครว์ ดูทุ่มเท กับฉากชักกระแด่ว ๆ ตาเหลือก น้ำลายยืด ที่ต้องโชว์อยู่หลายครั้ง เจน ฟอนด้า ป้าสองพันปีของวงการมารับบทเอเย่นต์ส่วนตัวของ เจค เป็นเพื่อนที่คอยให้กำลังใจเจคอยู่เสมอ เป็นบทที่คนดูน่าจะรักเธอเลยล่ะ ไดแอน ครูเกอร์ อดีต เฮเล่นแห่งกรุงทรอย บทแรกของเธอเมื่อ 11 ปีที่แล้ว วันนี้ก็ยังสวยอยู่เลย อแมนด้า ซีย์ฟรีด มารับบทแคธี่ ตอนโน เธอยังคงเอาดีกับหนังเน้นการแสดงเช่นเคย เธอเป็นนักแสดงฝีมือดี แต่ยังไม่เจอหนังแรง ๆ ที่ส่งให้เธอเข้าชิงเวทีใหญ่สักที นอกจากนี้ยังมี บรู๊ซ กรีนวู้ด , ออคทาเวีย สเปนซอร์ และ อารอน พอล จากซีรี่ส์ Breaking Bad อีก
หนังมีคำพูดสวย ๆ ฝากข้อคิดดี ๆ เยอะมาก เสียดายที่จำไม่ได้ครบถ้วน เลยไม่ได้เอามาฝากกันในบทความนี้