ฮอลลีวูดเปรียบได้กับดินแดนแห่งโชคชะตา แค่ฝีมืออย่างเดียวไม่พอต้องอาศัยดวงเฮงประกอบด้วย อย่างที่เราเคยเห็น ดาราหลายคนฝีมือการแสดงเก่งกาจคว้ารางวัลออสการ์มาก็แล้ว แต่ก็ร่วง ไม่มีสตูดิโอให้งานแสดง แต่กับบางคน ได้บทบาทตัวประกอบ มีเวลาโผล่มาแค่ไม่กี่นาทีในหนัง แต่เป็นบทที่เข้าทาง อาจจะซาบซึ้งตรึงใจผู้ชม หรือทำเอาผู้ชมหัวร่องอหาย ก็กลายเป็นที่จดจำ อย่างที่เราเรียกกันว่า “ขโมยซีน” แบบว่าดูจบแล้วต้องเสิร์ชหาว่าดาราคนนี้ชื่ออะไร สตูดิโออ้าแขนต้อนรับ ขึ้นแท่นกลายเป็นนักแสดงนำขายชื่อไปเสียได้ และนี่คือ 8 นักแสดงที่ได้แจ้งเกิดเป็นที่จดจำจากฉากสั้น ๆ เพียงแค่ฉากเดียวในหนัง

8.สตีฟ แคเรลล์ จากหนัง Bruce Almighty (2003)

หนังคอมเมดี้ในช่วงขาลงของ จิม แครีย์ (Jim Carrey) เขารับบทเป็น บรู๊ซ โนแลน ผู้ประกาศข่าวที่ไม่พอใจกับโชคชะตาชีวิต เลยด่าทอพระเจ้า พระเจ้าในภาพลักษณ์ มอร์แกน ฟรีแมน (Morgan Freeman) เลยมอบพลังพระเจ้าให้กับเขา ว่าลองทำหน้าที่พระเจ้าดูบ้างจะได้รู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เรื่องนี้ สตีฟ แคเรลล์ (Steve Carell) รับบทเป็น อีแวน แบรกซ์เตอร์ ผู้ประกาศข่าวที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับบรู๊ซ ก็เลยต้องโดนบรู๊ซแกล้ง

สตีฟ แคเรลล์ เข้าวงการแสดงมาตั้งแต่ยุค 90s แต่เขาก็มีผลงานแค่ในทีวีซีรีส์ และหนังสั้น ผลงานที่พอสร้างชื่อให้เขาในช่วงนั้นคือการแสดงตลกสั้นในรายการ Saturday Night Live และ The Dana Carvey Show ผลงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของแคเรลล์ก็คือ Bruce Almighty นี่แหละ แล้วเขาก็ไม่ปล่อยโอกาสทองนี้หลุดมือไป ด้วยประสบการณ์และพรสวรรค์ของการเป็นนักแสดงตลก เขาสามารถทำให้บทบาทของ อีแวน แบรกซ์เตอร์ กลายเป็นที่จดจำของคนดูได้ แล้วชื่อของ สตีฟ แคเรลล์ ก็เริ่มเป็นที่รู้จักและมีแฟน ๆ ที่ติดตามและอยากจะดูบทบาทฮา ๆ ของเขาอีกครั้ง

ด้วยแรงส่งจาก Bruce Almighty ทำให้สตีฟ แคเรลล์ เลื่อนชั้นมาเป็นนักแสดงนำใน The 40 Year Old Virgin (2005) แถมยังมีชื่อของเขาเป็นจุดขายบนโปสเตอร์หนังอีกด้วย แล้วหนังก็ประสบความสำเร็จอีกด้วย ยูนิเวอร์แซลเลยใช้โอกาสนี้ ดันภาคต่อของหนัง Bruce Almighty ออกมาในชื่อ Evan Almighty (2007) แล้วขยับ อีแวน แบรกซ์เตอร์ บทบาทของ สตีฟ แคเรลล์ ขึ้นมาเป็นบทนำ ซึ่งเขาก็ตอกย้ำให้สตูดิโอและผู้ชมได้ประจักษ์กันว่า เขาคือนักแสดงตลกตัวจริง

7.แอนดี้ เซอร์คิส จาก The Lord Of The Rings: The Two Towers (2002)

แม้ว่าเรื่องราวของกอลลัมจะถูกเล่าแบบสรุปรวบรัดไปแล้วใน The Fellowship of the Ring (2001) ที่เราได้เห็นกอลลัมโผล่มาในช่วงสั้น ๆ แต่ผู้ชมก็ได้เห็นหน้าตาและบทบาทของกอลลัมกันแบบยาว ๆ ในภาค The Two Towers (2002)

ทำให้รายชื่อนี้อาจจะแปลกจากชื่ออื่น ๆ ในหัวข้อนี้ไปเสียหน่อย เพราะว่าที่คนดูประทับใจและจดจำได้คือชื่อของ “กอลลัม” อมนุษย์ตัวเล็กขาวซีดผอมเกร็ง น้อยคนที่จะรู้ว่าเบื้องหลังกอลลัมนั้นคือการแสดงของ แอนดี้ เซอร์คิส (Andy Serkis) นักแสดงผู้บุกเบิกการแสดงผ่านเทคนิคที่เรียกว่า โมชันแคปเจอร์ แต่สำหรับแวดวงผู้สร้างแล้วนั้น กอลลัมทำให้ชื่อของแอนดี้ เซอร์คิส ถูกพูดถึงและเรียกหากันอย่างมากในกลุ่มหนังต้องพึ่งพาเทคนิคโมชันแคปเจอร์ ซึ่งทำให้เขาได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคาแรกเตอร์ดังอีกมากมายอย่าง ซีซาร์ ในไตรภาค the Planet of the Apes และ King Kong (2005) พองานชุกเข้าเซอร์คิสก็เลยเปิดบริษัท The Imaginarium Studios เพื่อรับผิดชอบงานด้านโมชันแคปเจอร์ในภาพยนตร์แบบเป็นจริงเป็นจังไปเลย

การที่ แอนดี้ เซอร์คิส ก้าวมาจากนักแสดงตัวประกอบ ที่ไม่ค่อยได้ใช้รูปร่างหน้าตาตัวเองปรากฏบนจอภาพยนตร์เท่าใดนัก แล้วก้าวมาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโมชันแคปเจอร์ และผลงานที่เขากำกับ Venom: Let There Be Carnage ก็กำลังจะออกฉายในปลายปีนี้ ก็ต้องย้อนกลับไปขอบคุณโอกาสจากผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็กสัน ที่มองเห็นศักยภาพของเขา แล้วก็มอบหมายบทบาทกอลลัมให้กับเซอร์คิส ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ฉากที่เขาแสดงความสามารถทางการแสดงให้เห็นก็คือ ฉากที่กอลลัมต่อสู้กับสมีกอลอดีตของตัวเองที่โผล่มาในมโนภาพ ขณะที่แซมกับโฟรโดกำลังหลับอยู่

6.ไวโอลา เดวิส จาก Doubt (2008)

ไวโอลา เดวิส (Viola Davis) นักแสดงหญิงผิวดำผู้มากฝีมือคนหนึ่ง เธอใช้ชีวิตในช่วงเริ่มต้นการแสดงกับบทบาทตัวประกอบในทีวีซีรีส์หลายเรื่อง และภาพยนตร์อย่างเช่น Disturbia และ Traffic แม้ในวันนี้ชื่อของ ไวโอลา เดวิส อาจจะไม่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างนัก แต่สำหรับคอหนังฮอลลีวูดตัวจริงก็จะจดจำเธอได้จากหนัง The Help (2011) และบทบาท อะแมนดา วอลเลอร์ (Amanda Waller) นายใหญ่จอมโฉดจาก Suicide Squad ทั้ง 2 ภาค แต่เรื่องที่เราหยิบมาพูดในที่นี้คือบทบาทการแสดงของเธอใน Doubt ที่นับว่าเป็นบทบาทแรกของเธอที่ได้รับความสนใจจากผู้ชม และนักวิจารณ์

Doubt เป็นหนังดราม่าเนื้อหาเข้มข้น เล่าเรื่องราวย้อนยุคปี 1964 เป็นหนังที่ขายการแสดงอย่างจริงจัง ดูได้จากรายชื่อนักแสดงนำที่ประกอบไปด้วย เมอรีล สตรีป, ฟิลิป ซีย์มัวร์ ฮอฟฟ์แมน และ เอมี อดัมส์ แต่ถึงอย่างนั้นดวิสก็ไม่ครั่นคร้ามกับพลังการแสดงของนักแสดงมากฝีมือเหล่านี้ บทคุณนายมิลเลอร์ของเดวิสนั้นเป็นบทสมทบเล็กน้อยมาก เธอได้ปรากฏตัวบนจอเพียงแค่ 8 นาทีเท่านั้น และเป็น 8 นาทีที่ต้องเข้าฉากร่วมกับ ซิสเตอร์ อลอยเซียส บทบาทของเมอรีล สตรีป เจ้าของ 3 รางวัลออสการ์ แต่ผลก็คือ 8 นาทีของไวโอลา เดวิส สามารถส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงได้

ถึงแม้เดวิสจะพลาดออสการ์ไปในปีนั้น แต่นั่นก็เท่ากับเธอได้รับการฉายส่องสปอตไลต์ในอาชีพการแสดงแล้ว เธอมีงานแสดงในปี 2009 ถึง 5 เรื่อง และปี 2010 อีก 7 เรื่อง และได้เข้าชิงออสการ์อีกครั้งจาก The Help (2011) ซึ่งยังคงพลาดไปอีกครั้ง ไวโอลา เดวิส คว้าออสการ์ได้สำเร็จในปี 2017 จาก Fences ที่เธอประกบคู่กับ เดนเซล วอชิงตัน และปีที่แล้วก็ได้เข้าชิงสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Ma Rainey’s Black Bottom (2020)

5.โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ จาก Kick-Ass (2010)

วันนี้ โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ (Chloë Grace Moretz) ไม่ใช่เด็กน้อยที่เราคุ้นตาอีกต่อไปแล้ว เพราะเธอเป็นสาววัย 24 ปีแล้ว แต่สำหรับบทบาทแจ้งเกิดของเธอนั้น ต้องย้อนกันไปในปี 2010 กับบทบาท Hit Girl หนูน้อยซูเปอร์ฮีโรขาโหด ตอนนี้มอเร็ตซ์รับบทนี้อายุเธอเพิ่ง 12 ปีเท่านั้นเอง

Kick Ass เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนของ มาร์ก มิลลาร์ (Mark Millar) และ จอห์น โรมิทา จูเนียร์ (John Romita Jr) เรื่องราวของ เดฟ ไลซิวสกี (Dave Lizewski) เด็กมัธยมที่ติดการ์ตูนงอมแงมจนนึกอยากจะเป็นซูเปอร์ฮีโรตัวจริงขึ้นมา ทั้งที่ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย แต่แล้วก็ตัดสินใจตัดชุดฟอร์มซูเปอร์ฮีโรขึ้นมาแล้วตั้งชื่อให้ตัวเองว่า Kick-Ass แถมยังกล้าบุกเข้ารังแก๊งมาเฟียผิวดำ ตอนนี้ล่ะที่เป็นฉากเปิดตัวของ โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ ในบทบาท Hit Girl ที่บุกเข้าช่วยเดฟได้ทันท่วงที ภาพลักษณ์ของสาวน้อยตัวจิ๋ว แต่ก็สังหารชาวแก๊งได้สุดโหดเกินคาด ทำให้ชื่อของ โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ ถูกพูดถึงนับตั้งแต่นาทีนั้น

จากความสำเร็จของ Kick Ass ทำให้หนังได้มีภาคต่อตามออกมาในปี 2013 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าภาคแรกแล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น เพราะบรรดานักแสดงเด็กในเรื่องเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว ส่วนเส้นทางบนอาชีพนักแสดงของมอเร็ตซ์นั้นยังดูสดใสอยู่ ปีนี้เราเพิ่งได้เห็นเธอในบทนำจากหนัง Tome and Jerry กันไปหมาด ๆ ส่วนปีหน้าจะมีหนังใหม่ที่เธอรับบทนำอีก 2 เรื่อง ทีวีซีรีส์อีก 1 เรื่อง และผลงานพากย์เสียงอีก 1 เรื่อง

4.แดนนี่ ดายเออร์ จาก Human Traffic (1999)

ข้ามมาที่หนังฝั่งอังกฤษกันบ้าง เป็นหนังอินดี้ที่ไม่ได้ออกฉายในวงกว้าง แต่ถูกพูดถึงในเวลาต่อมา เรื่องราวของแก๊งเพื่อนซี้ 5 คน ที่สนุกสุดเหวี่ยงกันในคืนวันศุกร์ที่แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศดนตรีในคลับ ยา และเรื่องราวความรักของวัยรุ่น ตัวเอกเรื่องคือบทบาท จิป ของจอห์น ซิมม์ (John Simm) แต่ตัวขโมยซีนในเรื่องกลับเป็น มอฟฟ์ บทบาทของ แดนนี่ ดายเออร์ (Dannie Dyer) และฉากที่เป็นที่กล่าวขวัญก็คือฉากคุยโทรศัพท์ในห้องน้ำ เป็นฉากสนทนาสั้น ๆ แค่ 43 วินาที เท่านั้น แต่ก็ทำให้ชื่อของ แดนนี่ ดายเออร์ เป็นที่จดจำ ถึงขั้นมีคนถ่ายคลิปเลียนแบบฉากนี้กันเลย

เมื่อดายเออร์ได้แจ้งเกิดจากบทมอฟฟ์ เขาก็เลยมีงานแสดงหลั่งไหลตามมาอีกมากมายเช่น Mean Machine, The Football Factory, The Business, Severance, Doghouse และได้พากย์เสียงในเกม Grand Theft Auto อีก 2 ภาค แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นบทบาทที่มีบุคลิกภาพลักษณ์ใกล้เคียงกับบทมอฟฟ์ที่สร้างชื่อให้กับเขา และเร็ว ๆ นี้ดายเออร์กำลังจะได้กลับไปสวมบทบาทเป็นมอฟฟ์อีกครั้งใน Human Traffic ภาค 2 ที่ทิ้งห่างภาคแรกยาวนานถึง 22 ปี

3.ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ จาก This Boy’s Life (1993)

วันนี้ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo Dicaprio) เป็นนักแสดงมากฝีมือวัย 46 ปีดีกรี 1 ออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม แต่กว่าที่เขาจะมาถึงจุดนี้ได้ ก็ต้องไม่ลืมว่าหนึ่งในบันไดขั้นสำคัญของเขานั้นมีชื่อของหนัง This Boy’s Life อยู่ด้วย ดิคาปริโอเข้าสู่วงการแสดงตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม ซึ่งเขาตัดสินใจเลิกเรียน แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่อาชีพการแสดงอย่างจริงจัง

ดิคาปริโอทำงานหนักตั้งแต่ยังเด็ก เขารับงานแสดงทั้งบทสมทบในทีวีซีรีส์ รวมไปถึงภาพยนตร์โฆษณา ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาได้แสดงก็คือ Critters 3 (1991) ในชื่อไทย “กลิ้งงับ ๆ” หนังสยองขวัญเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดต่างดาวตัวจิ๋ว ส่วน This Boy’s Life ก็ตามมาในอีก 2 ปีหลังจากนั้น และเรื่องนี้ล่ะที่เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่เขาจะได้แสดงประกบกับ โรเบิร์ต เดอ นีโร นักแสดงมากฝีมือตลอดกาล

ดิคาปริโอ รับบทเป็น โทบี วูล์ฟ เด็กวัยรุ่นที่ต้องเผชิญปัญหาใหญ่ในชีวิตครอบครัว เมื่อแม่ตัดสินใจเลิกรากับพ่อ เพราะทนที่จะถูกทารุณกรรมเป็นประจำไม่ไหว แม่พาโทบี้ย้ายมาตั้งรกรากในอีกเมือง แม่แต่งงานใหม่กับ ดไวต์ ช่างซ่อมรถยนต์ท่าทีสุภาพเรียบร้อย แต่พอเริ่มต้นชีวิตครอบครัวได้ไม่นาน ดไวต์ก็เผยสันดานดิบที่เป็นคนขี้เหล้าและอารมณ์ร้าย ฉากที่ดิคาปริโอได้แสดงศักยภาพและเป็นฉากจดจำจากเรื่องนี้ก็คือฉากบนโต๊ะอาหารเช้า ที่ดไวต์ปะทะอารมณ์และเริ่มลงมือทำร้ายโทบี้

หลังจาก This Boy’s Life ดีคาปริโอก็ได้ตอกย้ำความสามารถการแสดงของเขาให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้งใน What’s Eating Gilbert Grape (1993) หนังดราม่าชีวิตหนัก ๆ ที่เขาได้ประกบกับ จอห์นนี่ เด็ปป์ แล้วหนังก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เพียงตัวเดียว และเป็นสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมด้วยบทบาทการแสดงของ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ นั่นเอง เส้นทางการแสดงของเขาถูกพูดถึงอย่างมากอีกครั้งตอนที่รับบทนำใน Romeo + Juliet ก่อนจะไปสู่ Titanic ผลงานที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพการแสดงของเขา

2.ดอนนี่ วาห์ลเบิร์ก – The Sixth Sense (1999)

ดอนนี่ วาห์ลเบิร์ก (Donnie Wahlberg) พี่ชายแท้ ๆ ของ มาร์ก วาห์ลเบิร์ก (Mark Wahlberg) เขาเป็นอดีตสมาชิกบอยแบนด์ยุก 90s วง New Kids on the Block หลังแยกวงแล้ว ดอนนี่ก็เข้าสู่วงการแสดง ได้บทสมทบเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นที่จดจำนัก จนกระทั่งเขามาได้รับบท วินเซนต์ เกรย์ ใน The Sixth Sense นี่ล่ะ ที่ดอนนี่ทุ่มเทกับบทบาทนี้อย่างจริงจัง แม้ว่าจะมีเวลาปรากฏตัวบนจอเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น แม้เป็นฉากสั้น ๆ แต่ก็เป็นฉากสำคัญของเรื่องที่ให้อารมณ์ตึงเครียดสุด ๆ เพราะเป็นฉากที่ช็อกคนดู ไม่มีใครคาดเดาว่าเกรย์จะควักปืนมายิงใส่มัลคอล์ม บทของ บรู๊ซ วิลลิส (Bruce Willis) ก่อนจะยกปืนมายิงหัวตัวเอง

ดอนนี่ในภาพลักษณ์ของ วินเซนต์ เกรย์ นั้นทำเอาแฟน ๆ ที่ติดตามผลงานของเขายังแทบจำดอนนี่ไมได้ เพราะเขามาในภาพลักษณ์เกือบเปลือยเปล่านุ่งเพียงแค่กางเกงชั้นในเท่่านั้น และสภาพผอมซูบมาก อย่างที่กล่าวไป แม้จะเป็นฉากสั้น ๆ แต่ก็ดอนนี่ก็ทุ่มเทกับบทบาทนี้ถึงกับยอมลดน้ำหนักตัวลงไป 18 กิโลกรัม เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือว่านี่คือคนไข้ที่มีความทุกข์ทรมานจากอาการป่วยทางจิต

แม้ดอนนี่จะไม่ดังเปรี้ยงปร้างเหมือนน้องชายของเขา แต่หลังจาก The Sixth Sense ดอนนี่ก็มีผลงานแสดงเรื่อยมาตลอด เขาได้ร่วมแสดงในแฟรนไชส์ SAW ถึง 3 ภาค, Dreamcatcher, Dead Silence, Righteous Kill และล่าสุดได้รับบทนำในทีวีซีรีส์ Blue Bloods ทางช่อง CBS

1.ทอม ครูซ จาก Risky Business (1983)

อันดับ 1 ของการมีฉากจดจำต้องยกให้เขาคนนี้เลย ทอม ครูซ (Tom Cruise) พระเอกอันดับ 1 ตลอดกาล คงต้องคอหนังรุ่นเก๋าถึงจะจดจำฉากเต้นรำจากหนัง Risky Business ที่ต้องย้อนอดีตไปถึง 38 เรื่องนี้ได้

ทอม ครูซ เข้าวงการแสดงด้วยวัย 19 ปีเท่านั้น เขามีบทสมทบในหนัง Endless Love (1981) และ The Outsiders (1983) หนังรวมเหล่าดาราวัยรุ่น ที่ยังไม่มีใครจดจำเขาได้ เพราะอยู่ภายใต้รัศมีของ แพททริก สเวย์ซี, ราล์ฟ แมชชิโอ, ซี.โธมัส โฮเวลล์ และ แมต ดิลลอน จนกระทั่งเขาได้รับบทนำใน Risky Business ในปีเดียวกันนั้น ครูซรับบทเป็น โจเอล ลูกชายเศรษฐีที่กำลังอยู่นวัยคึกคะนอง เมื่อพ่อแม่พากันไปเที่ยวพักผ่อนสุดสัปดาห์ โจเอลที่ถูกทิ้งอยู่บ้านคนเดียวก็เลยเปิดปาร์ตี้ที่บ้านตามธรรมเนียมวัยรุ่นอเมริกัน แต่ดันวุ่นวายกันยกใหญ่เมื่อโจเอลทำรถ Porsche คันงานของพ่อพุ่งลงน้ำ โจเอลจึงต้องคิดวิธีหาเงินก้อนโตอย่างเร่งด่วนเพื่อหาเงินมาซ่อมรถให้พ่อ

ฉากจดจำของครูซเป็นฉากต้นเรื่อง ในฉากนี้ครูซใส่เสื้อเชิ้ตส่วนท่อนล่างใส่กางเกงชั้นในสีขาว แล้วก็เต้นและทำท่าลิปซิงก์เพลง Old Time Rock’n Roll ของ บ็อบ ซีเกอร์ แม้ฉากนี้จะสั้น ๆ เพียงแค่ 1 นาทีกว่าเท่านั้น แต่ก็กลายเป็นฉากคลาสสิก ที่ส่งให้เขาเป็นที่จดจำและปูทางให้เส้นทางอาชีพนักแสดงของเขาพุ่งทะยาน หลังจากเรื่องนี้ครูซก็ได้รับบทนำใน Top Gun (1986) แล้วตามด้วย The Color of Money ในปีเดียวกันที่เขาได้ประกบรุ่นใหญ่ พอล นิวแมน ตอกย้ำด้วยผลงานฮิตล้วน ๆ อย่าง Days of Thunder, Born on the Fourth of July, Rain Man, Cocktail

ผ่านมาถึงวันนี้ 40 ปีบนเส้นทางอาชีพการแสดง ความแรงของ ทอม ครูซ ในวัย 59 ปีก็ไม่ได้แผ่วเบาลงไปเลย บทบาท อีฮาน ฮันต์ จากแฟรนไชส์ Mission: Impossible ก็ยังเป็นที่ต้อนรับอย่างดีจากผู้ชมอยู่เสมอ แล้วเขายังมี Top Gun: Maverick อยู่ในคิวรอฉายอยู่อีกเรื่อง

อ้้างอิง อ้างอิง