เจสัน โมโมอา (Jason Momoa พระเอกหนุ่มร่างยักษ์ วัย 42 ปี ที่โด่งดังจากซีรีส์ ‘Game of Thrones’ 2 ซีซันแรก และรับบท Aquaman ใน ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’ (2016), ‘Justice League’ (2017) และ ‘Aquaman’ (2018) จนกลายเป็นภาพลักษณ์ที่แฟนๆ ติดตามาตลอดหลายปี ได้กลับมาอีกครั้งใน ‘Sweet Girl’ ผลงานแอ็กชันดราม่าที่เขารับหน้าที่ทั้งอำนวยการสร้างและนำแสดงเอง ซึ่งเป็นหมุดหมายว่าเขาพยายามผลักดันตัวเองเพื่อเป็นผู้สร้างภาพยนตร์มากขึ้น
สำหรับ ‘Sweet Girl’ นั้น เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ เจสัน โมโมอา และผู้กำกับ ไบรอัน แอนดรูว์ เมนโดซา (Brian Andrew Mendoza) ที่เคยร่วมงานกับ เจสัน โมโมอา มาก่อนแล้วใน ซีรีส์ ‘Frontier’ (2018) และภาพยนตร์ ‘Braven’ (2018)
และอีกหนึ่งความน่าสนใจคือ ได้ อิซาเบลา เมอร์เซ็ด (Isabela Merced) สาวน้อยวัย 20 ปี ที่ฉายแววความน่ารักและฝีมือการแสดงที่ประทับใจมาแล้วจาก ‘Transformers: The Last Knight’ (2017), ‘Sicario: Day of the Soldado’ (2018), ‘Instant Family’ (2018) และ ‘Dora and the Lost City of Gold’ (2019)
‘Sweet Girl’ ว่าด้วยเรื่องราวของ เรย์ คูเปอร์ (รับบทโดย เจสัน โมโมอา) คุณพ่อที่พยายามทุ่มแรงกายหาเงินมารักษาภรรยาของเขาที่ล้มป่วยอยู่ในโรงพยาบาล พร้อมกับคอยดูแล เรเชล คูเปอร์ (รับบทโดย อิซาเบลา เมอร์เซ็ด) ลูกสาวของเขาอย่างใกล้ชิด
เมื่อภรรยาของเรย์ได้เสียชีวิตลง เขาก็เริ่มออกมาทวงหาความยุติธรรมจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ดูเหมือนจะมีผลประโยชน์จากองค์กรอื่นแอบแฝงมาอีก
จากเนื้อเรื่องข้างต้น เป็นการปูพื้นให้ เจสัน โมโมอา ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพในการเล่นบทดราม่าได้อย่างน่าชื่นชม แสดงออกถึงความสูญเสียได้อย่างน่าเห็นใจ กอปรกับสาวน้อย อิซาเบลา เมอร์เซ็ด ที่ถึงแม้ว่าจะยังคงความน่ารักสดใสอยู่เสมอ แต่แววตาของเธอสามารถสื่อถึงความเสียใจและความโกรธได้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง
อีกสิ่งที่น่าชื่นชมเอามากๆ คือการถ่ายภาพในสไตล์ Handheld ที่มีความสั่นไหวตลอดเวลา ของ แบร์รี แอครอยด์ ‘Barry Ackroyd’ ที่เคยกำกับภาพให้ภาพยนตร์ของ พอล กรีนกราส (Paul Greenglass) อย่าง ‘United 93’ (2006) และ ‘Captain Phillips’ (2013) ก็ยังคงประสิทธิภาพ ไม่ทำให้เกิดความเวียนหัวแต่อย่างใด ผสานกับการตัดต่อท่ี่ทำได้ดี ส่งผลทำให้ได้ภาพฉากต่อสู้ และไล่ล่ามีความดิบและสมจริง ราวกับได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ ‘Jason Bourne’
แต่ถึงกระนั้น ‘Sweet Girl’ ก็ยังคงประสบปัญหาสำคัญก็คือบทภาพยนตร์ที่ขาดน้ำหนัก ทำให้การตัดสินใจของตัวละครขาดความน่าเชื่อถือ และการเดินเรื่องที่ไม่ต่อเนื่อง หยุดชะงักเป็นช่วงๆ ส่งผลทำให้อารมณ์ของภาพยนตร์ไม่ลื่นไหล
และฉากหักมุมที่ควรจะเป็นหมัดเด็ด กลับพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย แม้ว่าจะเป็นการตอบโจทย์ถึงการกระทำที่น่ากังขาของตัวละครหลักตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่หมัดฮุกอย่างที่ผู้สร้างคาดหวังไว้
แต่ด้วยการใส่ฉากแอ็กชันไล่ล่า และต่อสู้แบบตัวต่อตัวที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดีเข้ามาให้อย่างเต็มที่ ก็ช่วยประคับประคองผู้ชมได้เอาใจช่วยตัวละครไปได้ตลอดทั้งเรื่อง
อย่างไรก็ดี ทีมงานสร้าง ‘Sweet Girl’ นั้น สามารถส่งสาส์นที่ต้องการออกมาได้อย่างชัดเจน โดยมีการเน้นย้ำถึงจิดใจอันบอบช้ำจากความสูญเสียของทั้งผู้เป็นพ่อ และลูกสาว อยู่ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะตัวละครเรเชล ที่ต้องแบกรับทั้งอารมณ์โกรธและเสียใจไปพร้อมๆ กัน และต้องการใครสักคนคอยให้คำปรึกษาและกำลังใจ เพื่อให้ก้าวเดินต่อไปได้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส