Release Date
27/08/2021
ผู้กำกับ
ไมเคิล ชาเวซ
ความยาว
112 นาที
Our score
7.0The Conjuring: The Devil Made Me Do It
จุดเด่น
- โปรดักชันยังคงทำได้ดี ทั้งภาพเสียง โครงเรื่องมีการอิงจากคดีจริงทำให้ดูมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ตัวละครหลักนั้นแสดงดีอยู่เช่นเคย และการเป็นหนังปิดไตรภาคก็ดึงดูดความสนใจผู้ชมได้มากอยู่แล้ว
จุดสังเกต
- ฉากซีจีทั้งหลายทำได้หลอกตาบ้าง ไม่ได้อารมณ์หนังผีแต่ออกทางหนังสัตว์ประหลาดบ้าง การแสดงของตัวละครสมทบยังดูไม่ค่อยอยากเอาใจ จังหวะการเล่าเรื่องทั้งหลายไม่เร้าอารมณ์ต่อเนื่องพอ เส้นเรื่องแตกความสนใจไปหลายทางมากไป
- การไม่ได้ฉายในโรงหนัง มีส่วนไม่น้อย ทำให้หลายฉากขาดพลังไป แต่หลัก ๆ ก็ยังเป็นเรื่องบท ส่วนความไม่อินในเรื่องแนวแม่มดของผู้ชมชาวไทยก็อาจมีส่วนเช่นกัน
-
บท
7.0
-
โปรดักชัน
8.5
-
การแสดง
7.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
7.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
8.5
เรื่องย่อ Conjuring 3: เรื่องราวอันน่าสลดใจในความหวาดกลัว การฆาตกรรม และความชั่วร้ายที่พวกเขายังไม่เคยรู้จัก ที่จะสร้างประสบการณ์หวาดผวาให้กับ เอ็ด และ ลอร์เรน วอร์เรน ในการสืบสวนเรื่องราวเหนือธรรมชาติ หนึ่งในกรณีการเจอผีที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดของครอบครัววอร์เรน เมื่อจำเลยเด็กในคดีฆาตกรรมให้การว่าเขาถูกปีศาจเข้าสิงและทำไปโดยไม่รู้ตัว
หนังภาคที่ 3 นี้เป็นการย้ายมือจากผู้กำกับเดิมอย่าง เจมส์ วาน (James Wan) ที่ผันตัวไปเป็นโปรดิวเซอร์และมอบบังเหียนให้แก่ ไมเคิล ชาเวซ (Michael Chaves) ดาวรุ่งที่มีผลงานสยองขวัญก่อนหน้าอย่าง ‘The Curse of La Llorona’ (2019) ซึ่งวานก็เป็นโปรดิวเซอร์ให้ เรียกว่าเขาเป็นเด็กปั้นของวานเต็มตัวคนหนึ่งก็ว่าได้ และวานคงมองเห็นบางอย่างในตัวชาเวซถึงกล้ามอบภารกิจปิดไตรภาคแฟรนไชส์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของเขาเองให้ชาเวซสานต่อ
สิ่งที่อาจพูดได้ว่าชาเวซได้รับมาจากวานนั้นเป็นมากกว่าแค่โอกาสธรรมดา เพราะมรดกที่วานทำไว้ใน ‘The Conjuring’ ทั้งสองภาคก่อนหน้า ได้วางรากฐานพัฒนาการของคู่สามีภรรยาวอร์เรนมาอย่างดี เรารู้ความคิดจิตใจและความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาวอร์เรนมาดีมาก ผู้ชมพร้อมที่จะรักตัวละครนำทั้งคู่ตั้งแต่ก่อนดูหนังแล้ว ทำให้สามารถไปเน้นเรื่องราวความน่ากลัวที่ต้องเผชิญได้อย่างเต็มที่ เรียกว่าเบาภาระของชาเวซไปไม่น้อย
แต่ดูเหมือนว่าชาเวซเองก็ติดกับดักของการแบกรับงานสำคัญอยู่ดี ทำให้เขาพยายามเติมนู่นนี่นั่นให้สมหน้าที่ผู้สานต่อมากเกินไป ถ้าให้นิยามคือเขาติดกับดักความเป็นหนังภาคที่ 3 ที่ต้องยิ่งใหญ่ที่สุดในไตรภาคไปอย่างน่าเสียดาย
เมื่อมิติตัวละครนั่นหาที่สอดแทรกใหม่ ๆ ยากแล้ว ในภาคนี้ตัวเอ็ดจึงต้องประสบปัญหาโรคหัวใจเข้ามาเป็นอุปสรรคแทน เพราะเมื่อเอ็ดไม่สามารถดูแลลอร์เรนได้เต็มที่ ปีศาจร้ายก็เล่นงานภรรยาผู้มีสัมผัสพิเศษของเขาได้ง่ายขึ้น ในแง่หนึ่งก็เป็นการสร้างสถานการณ์บีบคั้นที่ดีเหมือนกัน
แต่ที่ทำให้ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปจากแฟรนไชส์เดิมค่อนข้างมาก น่าจะเป็นการเลือกศัตรูตัวใหม่ที่เป็นรูปลักษณ์ของผู้บูชาซาตาน และการอิงคดีฆาตกรรมที่โด่งดังมาก ๆ ในประวัติศาสตร์เรื่องเหนือธรรมชาติอเมริกาอย่าง ‘The Devil Made Me Do It’ มาเป็นตัวโฆษณาหลัก แต่พอเอาเข้าจริงก็ให้ความสำคัญและการใช้แง่มุมดราม่าในคดีนี้ไม่หนักแน่นพอ แถมช่วงกลางเรื่องจนท้ายเรื่องยังเสียทรงเทน้ำหนักไปเรื่องอื่น ๆ แทนเสียอีก ทำให้หนังแปรรูปจากหนังผีชวนขนหัวลุกแบบ ‘The Exorcist’ (1973) ไปเป็นหนังแบบหมอผีสู้ด้วยคุณไสยกันแทน ซึ่งคงผิดใจแฟนเดิมอยู่ไม่น้อย
และจะว่าไปในมุมของคนดูหนังที่โตมาแบบวัฒนธรรมไทย เรื่องพวกนี้มันดูธรรมดาเจนตาไปหน่อย แต่คงน่าตื่นเต้นสำหรับฝั่งตะวันตกหรือเปล่าอันนี้ก็ตอบยาก ผู้สร้างถึงได้เลือกเส้นเรื่องแบบนี้มาเล่า แต่สิ่งที่เสียหายไปแน่นอนคือ ความชั่วร้ายที่นำเสนอเป็นคนที่มีชีวิตชัดเจน หรือโผล่มาเป็นสัตว์ประหลาดไปเลยแบบในเรื่องนี้ มันขาดความน่ากลัวอย่างที่เคยเจอผีแม่ชีหรือผีแอนนาเบลลงไปเยอะทีเดียว
ความเปลี่ยนแปลงในการเล่าเรื่องนี้วิสัยทัศน์ของชาเวซอาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและน่าจะส่งผลเช่นกันก็คือ การหายไปของมือเขียนบทอย่าง แชด และ แครีย์ ดับบริว. ฮาเยซ (Chad และ Carey W. Hayes) ในภาคก่อน ๆ เหลือเพียง เดวิด เลสลีย์ จอห์นสัน (David Leslie Johnson) เพียงคนเดียว แม้จอห์นสันจะเคยร่วมเขียนบทในภาค 2 และมีผลงานหนังใหญ่อย่าง ‘Aquaman’ (2018) แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าแง่มุมเด่นของการต่อสู้เพื่อครอบครัวในภาคนี้ดูถูกกระจายความสำคัญไปที่ปีศาจตัวหลักมากไปหน่อย
ในภาคนี้ดีไซน์ความสยองผ่านความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เปราะบางแบบฉลาด ๆ และสร้างสรรค์อย่างในภาคก่อน ยังถูกเติมเต็มด้วยความตื่นเต้นและรูปแบบการพึ่งพาซีจีที่มากเกินไป ทั้งฉากที่ต่อสู้มาถึงหน้าผา หรือในห้องเก็บศพ แม้ดูจะมีฉากใหญ่ ๆ ให้เล่นบ้าง แต่ยังไม่ต่อเนื่องมีการเว้นพักอารมณ์นานเกินไป และภาพรวมก็ต้องยอมรับว่าหนังไม่ได้ดูโดดเด่นแตกต่างกับหนังเรื่องอื่น ๆ นัก จะมีที่ดูตื่นตาเป็นเอกลักษณ์ได้หน่อยก็มีไม่กี่ฉาก เช่น ฉากที่ป่าเปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน หรือฉากที่ลอร์เรนวิ่งหนีพร้อมดอปเพลแกงเกอร์ของตนเองที่ใช้เทคนิคเอานักแสดงแทนมาประกอบฉากได้อย่างสร้างสรรค์
และไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีไปหมดหรือล้มเหลว เอาเข้าจริงคุณภาพของโปรดักชันและการเล่าเรื่องยังมีกลิ่นอายและระดับที่ดีอย่างผลงานของวานอยู่ไม่น้อย ทั้งการใช้การโคลสอัปความมืด หรือการทำหนังย้อนยุคให้เนียนตา เพียงแต่โครงเรื่องเองเป็นปัญหาที่เอาโปรดักชันไปกลบก็ยังเห็นอยู่ดี อีกประการที่สำคัญคือ หนังถูกส่งตรงเข้าจอทีวีและมือถือแทนที่จะเป็นโรงหนังผ่านแพลตฟอร์มของ HBO GO ในบ้านเรา พลังของผีในหนังก็ต้องลดลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย แถมจังหวะว่าภาค 3 นี้ ผีในหนังก็ออกแนวปีศาจมากกว่าผีหรือวิญญาณที่บ้านเราจะกลัวได้มากกว่าอยู่แล้วด้วย
งานนี้จึงสรุปได้เพียงว่า ทำดีแล้วล่ะ แต่มันอินไม่สุดเพราะเลือกโครงเรื่องที่มีพลังน้อย และมาเจอบริบทการฉายที่ย้ำแผลลงไปอีกอย่างน่าเสียดาย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส