หนังสายรางวัลมาแรง ที่เป็นตัวเก็งออสการ์ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปีนี้ล่ะ หนังมีคุณสมบัติพร้อมในเรื่องเนื้อหาที่หนักและจรรโลงสังคม ที่เป็นแนวโปรดของออสการ์ มองย้อนไปในเส้นทางที่ผ่านมาก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะหนังทยอยฉายในต่างประเทศมาตั้งแต่ กันยายน จนถึงตอนนี้เข้าชิงไปแล้ว 99 รางวัลจากเวทีทั่วโลก แล้วกวาดมาได้ถึง 57 รางวัล ได้รับเสียงโหวตจากสมาชิก 2 เว็บไซต์ภาพยนตร์หลักอย่าง IMDB สูงถึง 8.4 และ Rotten Tomatoes สูงถึง 97 %
หนังเขียนบทและกำกับโดย ทอม แม็คคาร์ธีย์ อดีตดาราชายที่หันมาเอาดีทางด้านกำกับ เคยมี The Visitor (2007) ที่กวาดรางวัลไปเยอะเหมือนกัน รอบนี้ ทอม เลือกหยิบคดีอื้อฉาวในปี 2001 ที่ส่งผลให้หนังสือพิมพ์ บอสตันโกลบ ได้รางวัลพูลิตเซอร์ในสาขารับผิดชอบสังคมในปี 2003 มาดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์เอง เน้นไปที่ทีม สปอตไลท์ กลุ่มนักข่าวฝีมือดี 4 คนของหนังสือพิมพ์ บอสตัน โกลบ ที่ได้รับคำสั่งจาก บรรณาธิการคนใหม่ให้ไปรื้อข่าวบาทหลวงล่วงเกินทางเพศเด็กในปี 1993 มาขยายความ จากชื่อบาทหลวงเพียงหนึ่งขยายเป็น 13 คน และจบที่ตัวเลข 87 คนทั่วบอสตันที่มีความเป็นไปได้ว่ากระทำชำเราเด็กจริง จากข่าวเล็ก ๆ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่น่าจะส่งผลกระทบไปถึงศาสนจักรทั่วโลก เมื่อสปอตไลท์มีหลักฐานว่า เหล่าพระราชาคณะ ต่างรู้เห็นเรื่องนี้มาตลอดแต่ร่วมกันปกปิด
แม้ Spotlight จะเป็นหนังสายรางวัลแต่หนังก็ไม่ได้ดูยาก ไม่น่าเบื่อ ด้วยเนื้อหาที่เดินหน้าเร็ว ผสมเรื่องราวเชิงสืบสวนที่ลากจากเบาะแสหนึ่ง ไปอีกเบาะแสหนึ่งตลอดเวลา ลามไปถึงผู้เกี่ยวข้องมากมาย ทำให้หนังมีตัวละครในเรื่องเยอะมากกกก ได้เห็นการทำงานที่มากกว่าคำว่านักข่าว ที่ต้องพ่วงบทบาทนักสืบเข้าไปด้วย การทำงานแบบโคตรทุ่มเท เดินเคาะประตูตามบ้าน บ้านไหนไม่ยินดี ก็โดนด่าท้าตีท้าต่อย การใช้วาทะศิลป์ลูกล่อลูกชนให้เหยื่อยอมเล่าความจริงที่ตัวเขาอยากจะลืม เรื่องราวส่วนนี้น่าจะถูกใจคนทำงานหนังสือพิมพ์ได้เห็นการทำงานของทีมที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์ว่าเขาทุ่มเทกันอย่างไร ได้เห็นการตัดสินใจยาก ๆ ของคนระดับหัวหน้าที่ต้องเลือกจะตีแผ่ข่าวเลยหรือจะรอข้อมูลสำคัญแล้วยิงทีเดียวแบบเอาให้ตาย
บทสนทนาในเรื่องก็เต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึกทางกฎหมาย วงการศาสนจักร และเอ่ยชื่อบุคคลที่ 3 ที่ 4 เต็มไปหมด แต่หนังก็เดินหน้าไปอย่างรวดเร็วแบบไม่ห่วงคนดูเลย ไม่มีทางที่หัวสมองจะเก็บเกี่ยวประมวลข้อมูลขณะดูได้ทันแน่นอน ถ้าดูดีวีดีที่บ้าน กดย้อนหลังดูซ้ำแบบนี้ถึงจะเก็บรายละเอียดได้ครบ หนังมีศัพท์ยาก ๆ หลายคำ ทำให้รู้สึกชื่นชมคุณ “วาริน” คนทำซับไตเติ้ลไทยเรื่องนี้นะ จัดว่าเป็นงานยากที่ต้องทำการบ้านพอสมควร
หนังอัดแน่นไปด้วยทีมดารา แต่ที่โดดเด่นมาก ก็จะมี ไมเคิล คีตัน ในบท วอลเตอร์ โรบินสัน หัวหน้าทีมสปอตไลท์ และ มาร์ค รัฟฟาโล่ ที่มาเสียบแทน แมท เดม่อน ในบท ไมค์ เรเซนเดส นักข่าวหัวหอกของทีม ทั้งคู่ตั้งใจกับบทบาทในเรื่องนี้มาก ไมเคิล คีตัน ถึงขนาดไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับวอลเตอร์ โรบินสัน ตัวจริง แล้วก็แอบสะกดรอยสังเกตท่าทางมาเลียนแบบ จนวันที่ทั้งคู่ได้เจอกัน วอลเตอร์ ถึงกับตกใจกับสีหน้าท่าทางของ คีตัน ที่เลียนแบบเขาได้เหมือนมาก จน วอลเตอร์ บอกว่า เหมือนกันส่องกระจกดูตัวเองอยู่ เช่นเดียวกับ มาร์ค รัฟฟาโล่ ที่ขอบันทึกเสียงของ ไมค์ เรเซนเดส ไปฝึกพูดเลียนเสียง จนท้ายที่สุด ไมค์ เรเซนเดส ก็ยอมรับว่าเหมือนตัวเขามาก ทั้ง ไมเคิล คีตัน และ มาร์ค รัฟฟาโล่ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนับสิบสถาบันจากเรื่องนี้ แต่หนังค่อนข้างจะกวาดรางวัลกลับมาได้ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , กำกับยอดเยี่ยม และ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งย้อนกลับไปที่ตัว ทอม แมคคาร์ธีย์ เสียมากกว่า
ความยาวหนัง 2 ชั่วโมงนิด ๆ ตลอดทางของหนังมีหยอดสถานการณ์ให้ชวนลุ้นเล็ก ๆ อยู่ได้ตลอดทาง บวกกับข้อมูลใหม่ ๆ ที่สปอตไลท์ขุดคุ้ยออกมาให้ได้ชวนอึ้ง เหตุเพราะเรารับรู้ว่านี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบนโลกเรานี้ และเป็นเรื่องน่าอับอายมาก ด้วยจุดนี้จึงกลายเป็นประเด็นใหญ่ของหนัง ที่ชวนให้คิดตามเหมือนที่ทีมสปอตไลท์โดนฝ่ายตรงข้ามตั้งคำถามนี้อยู่บ่อยครั้ง ว่าถูกแล้วหรือที่จะเอาเรื่องคาวจากบาทหลวงส่วนน้อยมาเปิดโปงให้เสื่อมเสียศรัทธากระทบถึงศาสนจักรทั่วโลกกับอีกทาง เลือกปล่อยให้ศาสนจักรจัดการกันเองแบบเงียบ ๆ แล้วรักษาภาพลักษณ์อันดีเพื่อความศรัทธาไว้ จะดีกว่าไหม?