ทิ้งช่วงห่างจากหนังผจญภัยบนทะเลอย่าง In The Heart Of The Sea ไปไม่นาน ก็มีหนังบนท้องทะเลมาอีกเรื่องแล้ว รอบนี้ขยับเวลาในเรื่องเข้าเป็นยุคใหม่ขึ้นเยอะ หนังเล่าเหตุการณ์ในปี 1952 กับปฎิบัตการกู้ภัยของยามฝั่ง แมสชาซูเช็ตส์ กับวีรกรรมช่วยลูกเรือเพดเดิลตัน 32 ชีวิต จากเหตุพายุกระหน่ำเรือแตก
บางทีการที่หนังพกยี่ห้อดิสนีย์ นี่ก็เหมือนกับการโดนสปอยล์หนังกลาย ๆ แล้วนะ ด้วยมาตรฐานหนังดิสนีย์อันดั้งเดิมที่มีปราสาทเจ้าหญิงนิทราเป็นโลโก้เปิดเรื่อง จะต้องเป็นหนังครอบครัวที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าหนังจะต้องไม่มีภาพรุนแรง แล้วจบด้วยความอิ่มเอิบ ถึงแม้เนื้อหาจะเต็มไปด้วยอุปสรรคปานใด เราก็อุ่นใจได้ว่าตอนจบโลกมันจะต้องสดใส The Finest Hours ก็เช่นเดียวกัน เบอร์นี่ เว็บเบอร์ บทของ คริส ไพน์ ที่รอบนี้มาในมาดหนุ่มขี้อาย ขาดความมั่นใจในตัวเอง ดูสงบเสงี่ยมพูดน้อย เขาเป็นยามฝั่งกู้ภัยที่มีความผิดพลาดในอดีตคอยฝังใจอยู่ แต่แล้วในคืนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ก็เกิดเหตุมหาวิปโยคเรือบรรทุกน้ำมันอับปางกลางทะเล หน่วยกู้ภัยระดับหัวกะทิก็ออกไปทำหน้าที่ แล้วก็เกิดเหตุซ้ำสองเมื่อเรือเพดเดิลตันเกิดอับปางขึ้นมาอีกลำ เบอร์นี่ จึงต้องนำเรือเล็กกับลูกทีมระดับฝึกหัดออกไปช่วยเรือเพดเดิลตันท่ามกลางพายุรุนแรง ที่หลายคนบอกว่านั่นคือภารกิจฆ่าตัวตายชัด ๆ
หนังเล่า 3 เหตุการณ์สลับกันไปมา มิเรียม คู่รักของเบอร์นี่ ที่วิตกกังวลกับชะตากรรมของคนรัก พยายามขอร้องให้นายท่าเรียกตัวเบอร์นี่กลับ เหตุการณ์บนเรือของเบอร์นี่ กับเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก 3 ชีวิต ความพยายามฝ่าสันดอนทราย ที่ขณะมีพายุจะเกิดคลื่นใหญ่และแรง ไม่เคยมีเรือไหนฝ่าออกไปได้ และเหตุการณ์บนเรือเพดเดิลตันมี ซีเบิร์ท หัวหน้าช่างพยายามควบคุมสถานการณ์โกลาหลแตกตื่นบนเรือ และหาทางยืดชีวิตให้เรือลอยลำให้ได้นานที่สุดจนกว่าจะมีใครมาช่วยชีวิต หนังปูเรื่องราวโรแมนติคระหว่างเบอร์นี่ กับ มิเรียมมาประมาณ 20 นาทีตอนต้น เพื่อเสริมน้ำหนักความดราม่าลงไปในเรื่องราว อีกทั้งแซม ๆ ว่าเบอร์นี่ เคยทำภารกิจผิดพลาดให้เป็นจารึกตราบาปติดในใจเขามาตลอด เลยกลายเป็นแรงผลักดันให้ เบอร์นี่ พยายามเอาชนะภารกิจกู้ภัยครั้งนี้ให้สำเร็จแม้เพื่อนฝูงจะทักท้วงให้ยอมแพ้แล้วหันหลังกลับ ขณะเดียวเหตุการณ์บนเรือเพดเดิลตันจากสถานการณ์ตึงเครียดเบาๆ เมื่อเริ่มเผชิญพายุ แต่แล้วก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากเรือแตก หนทางรอดแต่ละทางก็เริ่มตันริบหรี่ลงไปทุกที แถมด้วยการใส่ตัวละครตัวป่วนคอยทำสถานการณ์ให้แย่ลงไปให้คนดูรังเกียจเล่น ๆ อีก ทุกเหตุการณ์ล้วนช่วยกันพากราฟความลุ้นระทึกของหนังขึ้นไปได้สูง บวกกับเทคโนโลยีซีจีที่เนรมิตรคลื่นยักษ์ ก็ดูสมจริง สร้างภาพเรือแตกเป็น 2 ท่อนให้ดูน่าตื่นตาตื่นใจ ฉากเบอร์นี่พาเรือกู้ภัยมุดคลื่น ปีนคลื่นผ่านสันดอนทรายก็จัดเป็นฉากที่ลากยาวและดูสนุก สุดท้ายก็ยังต้องช่วยกันลุ้นกับชะตากรรมของทั้งทีมงานกู้ภัยกับลูกเรือเต็มลำที่จะต้องหาทางกลับฝั่งด้วยเรือที่เพียบแปล้และไม่มีเข็มทิศอีกต่างหาก ถือว่าทั้งภาพและเสียง และฉากซีจีต่างก็ทำหน้าที่ได้สัมฤทธิ์ผลให้ชวนลุ้นได้ถึงแม้คนดูเดาตอนจบได้อยู่แล้ว
หนังจบแบบหนังสร้างจากเรื่องจริงทั่วไป ด้วยการขึ้นภาพเบอร์นี่ และเพื่อนตัวจริง ๆ ในประวัติศาสตร์ และบันทึกความดีความชอบที่เขาได้รับ หนังอยู่ในความรับผิดชอบของ เครก กิลเลสปี ผู้กำกับที่เคยทำ Million Dollar Arm(2014) อีกหนึ่งหนังของ ดิสนีย์ ที่ประทับใจคนดูมาแล้ว รอบนี้เลยได้จับหนังทุนใหญ่ขึ้นที่ 70 ล้าน จัดว่าสูงแล้วครับสำหรับหนังครอบครัวติดตราดิสนีย์ หนังที่ดูได้ทั้งครอบครัวแบบนี้น่าจะทำกำไรกลับมาได้ไม่ยาก 2 ชั่วโมงพอดีครับ