เชื่อว่าหลายคนโดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ที่ได้ดู No Time to Die หนังเจมส์ บอนด์ ภาคล่าสุดกันไป จะต้องประทับใจกับนักแสดงสาว อนา เดอ อาร์มาส (Ana de Armas) ในบท ‘พาโลมา’ สายลับสาว CIA ที่มาร่วมปฏิบัติการกับบอนด์ในคิวบา เธอเปิดตัวในชุดราตรียาว แต่เซ็กซี่สุดกับท่อนบนที่ผ่ากลางอกยาวลงมาถึงหน้าท้อง แม้ว่าบทของพาโลมาจะปรากฏตัวบนจอเพียงแค่ช่วงเดียวคือในปฏิบัติการนี้เท่านั้น แต่ผู้กำกับก็ใช้งานเธอได้คุ้มค่า ทั้งความสวยคมสะดุดตา และลีลาพะบู๊ที่จัดเต็มทั้งยิงปืน และเตะต่อย ซึ่งอาร์มาสก็ทำได้สำเร็จอย่างสวยงามและน่าประทับใจ หลังจาก No Time to Die ออกฉาย ชื่อของ อนาร์ เดอ อาร์มาส จะต้องเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับใครที่ชมแล้วประทับใจความงามของเธอ และจากนี้คือ 7 เรื่องราวน่าสนใจของ อนา เดอ อาร์มาส
1.เธอเป็นสาวคิวบาโดยกำเนิด
อนา เดอ อาร์มาส เป็นสาวคิวบาโดยกำเนิด บท ‘พาโลมา’ สายลับสาวชาวคิวบันจึงเป็นบทที่ตรงกับตัวตนของเธออย่างมาก เธอเกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี 1988 ที่เมืองฮาวานา ปัจจุบันก็อายุ 33 ปีเข้าไปแล้ว อาร์มาส มีความสูงที่ 168 ซม. ด้วยความที่สนใจในการแสดงตั้งแต่เด็ก อาร์มาสจึงเข้าเรียนการแสดงในโรงเรียนสอนการแสดงประจำเมืองฮาวานาตั้งแต่อายุได้เพียง 14 ปีเท่านั้น พออายุ 18 ปี ก็มีโอกาสได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่องแรก Una rosa de Francia (2006) หลังจากนั้นเรื่องนี้เธอก็ได้มีผลงานแสดงภาพยนตร์อีก 2-3 เรื่อง จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ที่ประเทศสเปน ที่นี่เธอมีผลงานแสดงทั้งภาพยนตร์และทีวีซีรีส์ เรื่องเด่นก็คือ El Internado (2007) อาร์มาสอยู่ในสเปนยาวนานจนถึงปี 2014 เธอถึงได้ย้ายมาลอส แอนเจลิส
2.ผลงานในหนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่เรื่องแรกของเธอก็คือ Hands Of Stone (2016)
หลังจากย้ายมาแสวงหาความก้าวหน้าในวงการแสดงที่ฮอลลีวูด ก็ถือว่าเธอโชคดีที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดัง อีไล รอธ (Eli Roth) ตั้งแต่เรื่องแรกคือ Knock Knock (2015) พระเอกของเรื่องก็คือ คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves)นั่นเอง ผลงานเรื่องต่อมาก็ยังคงได้ร่วมงานกับผู้กำกับดังอีกเช่นกัน ท็อดด ฟิลิปส์ (Todd Phillips) ในเรื่อง War Dog (2016) หลังจากเรื่องนี้ฟิลิปส์ก็ดังแบบฉุดไม่อยู่แล้วกับ Joker 2 เรื่องที่กล่าวมานี้ยังเป็นหนังฟอร์มเล็ก ทุนสร้างต่ำ แต่เรื่องที่ 3 นี่สิ Hands Of Stone (2016) หนังชีวประวัตินักชกระดับตำนาน โรเบอร์โต ดูรัน ที่อาร์มาสมองว่าเป็นผลงานฟอร์มใหญ่ออกฉายในระดับสากล และเป็นโอกาสดีที่เธอได้ร่วมงานกับนักแสดงแถวหน้าอย่าง เอ็ดการ์ รามิเรซ และ โรเบิร์ต เดอนีโร
แต่เรื่องที่ส่งให้ชื่อของอาร์มาสเป็นที่รู้จักจริง ๆ ก็คือ Blade Runner 2049 (2017) เป็นอีกครั้งที่เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับระดับแถวหน้า เดนิส วิลเลอเนิฟ เส้นทางในฮอลลีวูดของเธอค่อนข้างเดินหน้าไปอย่างสวยงาม เพราะหลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปี เธอก็ได้รับบทนำในหนังรวมนักแสดงฮอลลีวูดแถวหน้าเรื่อง Knives Out (2019) ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอาร์มาสไม่ปล่อยโอกาสให้สูญเปล่า เธอทุ่มเทกับการแสดงในเรื่องนี้อย่างมาก และเป็นผลสำเร็จเมื่อเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม แม้ว่าจะพลาดไป แต่ก็ไม่ได้หยุดหนทางสู่ตำแหน่งซูเปอร์สตาร์ของเธอ เมื่อในวันนี้ผู้ชมทั่วโลกต่างก็ได้รู้จักชื่อ อนา เดอ อาร์มาส ในตำแหน่งสาวบอนด์คนล่าสุดกันแล้ว
3.วันที่เธอมาฮอลลีวูด เธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย
แม้ว่าอาร์มาสจะมีความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นในอาชีพนักแสดง ที่ผลักดันให้เธอตัดสินใจย้ายจากสเปนมายังลอส แองเจลิส แต่ในวันที่เธอเหยียบแผ่นดินอเมริกานั้น อาร์มาสพูดได้แต่ภาษาสเปนเท่านั้น เธอจึงตัดสินใจเรียนภาษาอังกฤษไปพร้อม ๆ กับที่นำเสนอผลงานของเธอไปกับหลาย ๆ สตูดิโอในลอส แองเจลิส ซึ่งอาร์มาสเรียนภาษาอังกฤษในแบบหลักสูตรเร่งด่วน ทำให้เธอสามารถพูดอังกฤษได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น สร้างความสงสัยให้ผู้คนรอบข้างอย่างมาก อาร์มาสเล่าเรื่องนี้ว่า
“ใครต่อใครก็ถามฉันว่า ทำไมฉันเรียนอังกฤษได้เร็วขนาดนั้น? ฉันก็ตอบไปตามตรง ก็เพราะชีวิตฉันขึ้นอยู่กับเรื่องนี้นี่”
4.เธอเคยแต่งงานแล้ว กับนักแสดงหนุ่มชาวสเปน
ช่วงที่อาร์มาสรับงานแสดงอยู่ในสเปนนั้น เธอได้เข้าพิธีสมรสกับ มาร์ก โคลเทต (Marc Clotet) นักแสดงชาวสเปนในปี 2011 แต่ชีวิตคู่ของทั้งคู่ก็ไม่ยืนยาว หย่าขาดกันภายในเวลาเพียงแค่ 2 ปี จากนั้นอาร์มาสก็ย้ายมาหาความก้าวหน้าในอาชีพที่ลอส แองเจลิส ไม่มีการแพร่งพรายถึงสาเหตุการหย่าร้างจากทั้งคู่ โดยเฉพาะตัวอาร์มาสเอง ที่ค่อนข้างปิดปากเงียบเรื่องชีวิตส่วนตัว
5.เธอเคยคบหากับ เบ็น แอฟเฟล็ก
ทั้งคู่ได้รู้จักและเริ่มคบหากันเพราะได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์ Deep Water ที่เริ่มถ่ายทำกันในปี 2020 หลังจากนั้นก็มีผู้คนพบเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันบ่อยครั้งในลอส แองเจลิส แล้วยังไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันอีกหลายครั้งทั้งใน คิวบา และ คอสตา ริกา แต่ก็เป็นช่วงเวลาโรแมนติกที่แสนสั้น ทั้งคู่ยุติความสัมพันธ์กันในต้นปี 2021
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดทั้งคู่เผยว่า อาร์มาสเป็นฝ่ายบอกเลิกความสัมพันธ์ครั้งนี้ เพราะแผนการชีวิตของเธอนั้น เธอไม่ต้องการลงหลักปักฐานในลอส แองเจลิส ต่างจากเบ็นที่ชีวิตของเขาอยู่ที่ลอส แองเจลิส นี้ เพราะลูก ๆ ของเขาที่เกิดกับเจนนิเฟอร์ กาเนอร์ ทั้ง 3 คนอยู่ที่นี่ บวกกับทั้งคู่เป็นนักแสดงที่มีงานชุก เบ็นยังมีงานหนังอีก 3 เรื่องต่อจากนี้ และตั้งใจจะทำหน้าที่พ่อให้ดีที่สุด ส่วนอาร์มาสเองก็กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของอาชีพนักแสดง แม้ทั้งคู่จะยังคงรักกันดีแต่ก็เคารพการตัดสินใจของกันและกัน และจากกันด้วยดี
6.เธอได้แสดงเป็น มาริลีน มอนโร ในหนังชีวประวัติ
หลังจาก No Time to Die ที่กำลังออกฉายทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ผลงานเรื่องต่อไปของเธอก็คือ ‘Deep Water’ หนังที่ทำให้เธอได้คบหากับ เบน แอฟเฟล็ก ที่วางกำหนดฉายไว้ต้นปี 2022 เรื่องราวของสามีที่พยายามรักษาสถานภาพครอบครัว ถึงกับยอมให้ภรรยานอกใจไปคบหากับชายอื่น แต่แล้วจู่ ๆ ภรรยาก็หายตัวไป สามีแสนดีก็ตกอยู่ในสถานะผู้ต้องสงสัยอันดับแรก
จากนั้นเธอก็จะมีผลงานที่เธอรับบทนำเต็มตัวใน ‘Blonde’ หนังชีวประวัติของ มาริลีน มอนโร (Marilyn Monroe) นักแสดงสาวชื่อก้องโลกในยุค 50s – 60s หนังเป็นผลงานสร้างของ Netflix มีกำหนดสตรีมมิงในปี 2022 เสียงร่ำลือจากกองถ่ายว่า งานแสดงของอาร์มาสโดดเด่นควรค่าแก่การเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล
7.เธอรักหมามาก
อาร์มาส มีหมาสุดรักของเธอชื่อ ‘เอลวิส’ เป็นหมาพันธุ์มาลทีส ตัวเล็กขนปุยสีขาว เธอจะไปไหนมาไหนกับเจ้าเอลวิสตลอด แม้กระทั่งเวลาไปเดตกับเบ็น แอฟเฟล็ก และในหนัง Blonde เจ้าเอลวิสก็ได้ร่วมแสดงด้วย รับบทเป็น ‘มาเฟีย’ หมาสุดรักของ มาริลีน มอนโร ที่ แฟรงค์ ซินาตร้า มอบเป็นของขวัญให้เธอในปีสุดท้ายก่อนเธอจะเสียชีวิต หลังมอนโรเสียชีวิต เลขาของซินาตร้าก็รับหน้าที่ดูแลเจ้าเอลวิสต่อไป