แดเนียล เครก (Daniel Craig) เป็นนักแสดงชาวอังกฤษโดยกำเนิด เขาเกิดในเมืองเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เครกเข้าสู่วงการแสดงตั้งแต่ปี 1992 ในวันนั้นเขาอายุได้ 24 ปี เขามีโอกาสได้แสดงหนังและทีวีซีรีส์ในอังกฤษหลายเรื่อง จนกระทั่งปี 2001 เขาถึงได้มีโอกาสร่วมแสดงในหนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่อย่าง Lara Croft: Tomb Raider และ Road to Perdition ในปี 2002 แต่ก็เป็นแค่บทสมท ยังไม่มีใครจดจำเขาได้ จนกระทั่งได้ขยับมารับบทนำใน Layer Cake (2004) ที่เขาได้ใส่สูทและถือปืน จนไปเข้าตาทีมผู้สร้าง James Bond ที่กำลังมองหา เจมส์ บอนด์ คนใหม่พอดี
ทันทีที่ผู้สร้างเปิดตัว แดเนียล เครก ในฐานะ เจมส์ บอนด์ คนที่ 6 เขาได้รับเสียงครหาจากแฟน ๆ เดนตายของเจมส์ บอนด์ อย่างมาก ด้วยเหตุที่เขามาในบุคลิกและภาพลักษณ์ที่ฉีกขนบเจมส์ บอนด์ ดั้งเดิม ทั้งรูปร่างที่มาพร้อมมัดกล้าม ผมบลอนด์ และตาสีฟ้า แต่แล้วเครกก็ได้พิสูจน์ว่าเขาสามารถเป็นเจมส์ บอนด์ ที่สมบูรณ์แบบได้จริง 15 ปีผ่านไป เครกกลายเป็นนักแสดงที่อยู่คู่กับบทบาท เจมส์ บอนด์ ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ และสามารถทำให้แฟน ๆ หันมายอมรับได้อย่างหมดใจ วันนี้เขาได้โบกมือลาบทบาทเจมส์ บอนด์ ไปอย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งเครกเองก็ยอมรับว่าใจหายพอสมควร แต่ด้วยวัย 53 ปี ก็ถือว่าสมควรแก่เวลาแล้วจริง ๆ
วันนี้ แดเนียล เครก ได้พาตัวเองจากตำแหน่งนักแสดงสมทบที่ไม่มีใครรู้จัก ขึ้นสู่ตำแหน่งนักแสดงชายค่าตัวสูงคนหนึ่งในฮอลลีวูด เขาได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่า เขาไม่ได้ติดกับภาพลักษณ์ของบอนด์ตลอดไป ด้วยการไปลองเล่นหนังลึกลับ-คอมเมดี้อย่าง Knives Out (2019) ซึ่งชื่อของเขาก็สามารถเรียกผู้ชมได้เป็นอย่างดี หนังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม นั่นทำให้เครกมีงาน Knives Out ภาค 2 และภาค 3 รอเขาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมี The Creed of Violence ที่เขารับบทนำอยู่ในช่วงเตรียมการสร้าง แล้วยังมีทีวีซีรีส์รออีก 1 เรื่อง ถึงเลิกเล่นเจมส์ บอนด์ แต่ดูทีท่าแล้วก็ไม่ได้พักอย่างแน่นอน เอาล่ะ เรามาทำความรู้จักนักแสดงสุดฮอตในวัยเลข 5 คนนี้กันให้มากขึ้นครับ
1.เขาเป็นนักกีฬารักบี้
แวบแรกที่เราได้เห็น แดเนียล เครก ทุกคนก็ต้องสะดุดกับรูปร่างของเขา ที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในการฟิตหุ่นมาเป็นเวลายาวนาน มีความบึกบึนเหมือนนักกีฬา ซึ่งก็ใช่อย่างนั้น เพราะเครกเคยเป็นนักกีฬาประจำทีมรักบี้มาก่อน เครกเติบโตมาใน ฮอยเลก (Hoylake) หมู่บ้านริมทะเลทางตะวันตกของสหราชอาณาจักร อยู่ปากทางของแม่น้ำดี ที่เมืองนี้ก็มีทีมรักบี้ประจำเมืองชื่อทีมว่า Hoylake RFC และแดเนียล เครก ก็เป็นนักกีฬาประทจำทีมรักบี้นี้ละ
2.เริ่มต้นการแสดงในละครเวทีจากบทประพันธ์ของเชกสเปียร์
เครกเริ่มต้นงานแสดงตั้งแต่อายุได้ 14 ปีเท่านั้น ด้วยการรับบทนำในละครเวที Romeo Juliet ที่จัดแสดงโดยโรงเรียนมัธยมที่เขาเรียนอยู่ ทำให้เครกเริ่มรู้สึกว่าตัวเองสนใจในการแสดงอย่างจริงจัง ทำให้ลาออกจากโรงเรียนมัธยมกลางคัน แล้วไปสมัครเข้าเป็นนักแสดงประจำใน โรงละครเยาวชนแห่งชาติ (the National Youth Theatre) ในลอนดอน หลังจากได้เข้าเรียนแล้ว เครกก็ได้ร่วมแสดงใน Troilus and Cressida บทละครอีกเรื่องของเชกสเปียร์ เขารับบทเป็น อะกาเมมนอน
3.เคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ
ฟังดูอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเราต่างก็เคยได้ยินได้ฟังว่านักแสดงชื่อดังหลายคนก็เคยผ่านการทำงานในร้านอาหารกันมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งเครกเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ในช่วงที่เขาเป็นนักแสดงประจำในโรงละครเยาวชนแห่งชาติอยู่นั้น แม้เขาจะมีรายได้จากการแสดง ที่มักเดินสายไปโชว์ในสเปน และมอสโก แต่ปัญหาก็คือ ไม่ได้มีละครเวทีให้เล่นประจำ ทำให้เครกต้องหารายได้พิเศษเพิ่มเติม ด้วยการทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ช่วงใหญ่ ๆ ในชีวิต
4.เครกมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนเป็นนักแสดงชื่อดังหลายคน
แดเนียล เครก เป็นผู้ที่ใฝ่รู้ทางด้านการแสดงอย่างจริงจัง ในปี 1988 เขาเข้าศึกษาต่อทางด้านการแสดงในโรงเรียน Guildhall School of Music and Drama เป็นสถาบันสอนการแสดงแห่งกรุงลอนดอน ที่ได้รับการยอมรับนับถือในระดับสากล เป็นสถาบันเก่าแก่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1880 ศิษย์เก่าจากที่นี่ก็ล้วนแต่เป็นนักแสดงผู้ทรงเกียรติในอังกฤษกันทั้งสิ้น ส่วนในรุ่นเดียวกับเครกนั้นก็มีนักแสดงชื่อดังหลายคนอย่างเช่น ยวน แมกเกรเกอร์, โจเซฟ ไฟนส์ และ แดเมียน เลวิส ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญที่ภายหลัง เครก ในบทเจมส์ บอนด์ ได้มาแสดงคู่กับ เรล์ฟ ไฟนส์ ที่รับบท M และเป็นพี่ชายของของ โจเซฟ ไฟนส์ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาเอง
5.เขาเป็น เจมส์ บอนด์ คนแรกที่เกิดมาหลังจากหนังภาคแรกออกฉายแล้วด้วยซ้ำ
เจมส์ บอนด์ เป็นนิยายชื่อดัง เล่มแรกคือ Casino Royale ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 1953 หลังจากนั้นผ่านมา 9 ปี นิยายก็ถูกซื้อลิขสิทธิ์มาสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่องแรกคือ Dr.no ออกฉายในปี 1962 ซึ่งปีนั้น แดเนียล เครก ยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาเกิดในปี 1968 ส่วนผู้รับบทบอนด์ ก่อนหน้านั้นทั้ง 5 คนล้วนเกิดทัน Dr.no กันทั้งสิ้น จอร์จ ลาเซนบี้ เกิดปี 1939, โรเจอร์ มัวร์ เกิดปี 1927, ทิโมธี ดัลตัน เกิดปี 1946 และเพียร์ซ บรอสแนน เกิดปี 1953
ถึงแม้เขาจะเกิดหลังสุด แต่เครกก็ไม่ถือว่าเป็นนักแสดงที่เริ่มต้นบทบอนด์ด้วยวัยที่หนุ่มที่สุด แต่กลับเป็น จอร์จ ลาเซนบี้ ที่แสดงเป็นเจมส์ บอนด์ ภาคเดียวใน Her Majesty’s Secret Service (1969) ด้วยวัยเพียง 30 ปี ในขณะที่แดเนียล เครก ประเดิมกับ Casino Royale (2006) ในวัย 38 ปี
6.เป็นบอนด์คนแรกที่เตี้ยกว่า 180 ซม.
ในวันที่มีการเปิดตัว แดเนียล เครก เป็นบอนด์คนใหม่ ก็เสียงโต้แย้งในหลาย ๆ เรื่องที่ว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นบอนด์ และหนึ่งในจุดที่แฟน ๆ บอนด์ชี้ว่ามีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนพอที่จะเป็นบอนด์ก็คือความสูงของเขานั่นเอง แดเนียล เครก มีความสูงที่ 177.8 ซม. ในขณะที่นักแสดงที่รับบทเป็น เจมส์ บอนด์ ก่อนหน้าเขาทั้ง 5 คนนั้นล้วนสูงกว่า 180 ซม. ทั้งสิ้น
ฌอน คอนเนอรี่ (Sean Connery) เจมส์ บอนด์ คนแรกที่ตั้งมาตรฐานความสูงไว้สูงปรี๊ดที่ 187.96 ซม. คนต่อมาคือ จอร์จ ลาเซนบี้ (George Lazenby) ก็สูงเท่ากับคอนเนอรี่, โรเจอร์ มัวร์ (Roger Moore) เตี้ยกว่านิดเดียวเองที่ 185.42 ซม. เท่ากับ ทิโมธี ดัลตัน (Timothy Dalton) และเพียร์ซ บรอสแนน (Pierce Brosnan) ก็เตี้ยกว่าอีกนิดเดียวที่ความสูง 184.78 ซม.
7.เป็นนักแสดงที่อยู่กับบท เจมส์ บอนด์ ยาวนานที่สุด
ฌอน คอนเนอรี่ ผู้รับบท เจมส์ บอนด์ คนแรก เขารับบทนี้ตั้งแต่ปี 1962 – 1971 รวมเวลาแล้ว 9 ปี แบบไม่ต่อเนื่อง เพราะ จอร์จ ลาเซนบี้ เข้ามาแทรก 1 ภาคในปี 1969 ก่อนที่คอนเนอรี่จะกลับมาเป็นบอนด์ต่อ คนต่อมาคือ โรเจอร์ มัวร์ เป็นบอนด์ตั้งแต่ปี 1973 – 1985 รวมเวลาแล้ว 12 ปี ส่วนทิโมธี ดัลตัน เป็นบอนด์สั้น ๆ แค่ 2 ภาคในช่วงปี 1987 – 1989 และเพียร์ซ บรอสแนน เป็นบอนด์ทั้งหมด 7 ปี ตั้งแต่ปี 1995 จนถึง 2002 ส่วนแดเนียล เครกนั้น ผู้ครองสถิติอยู่กับบทเจมส์ บอนด์ยาวนานที่สุด นับตั้งแต่ Casino Royale มาจนถึง No Time to Die นั้นรวมเวลาแล้วยาวนานถึง 15 ปี ซึ่งสถิตินี้ได้มาก็เพราะภาวะโควิด-19 ระบาดนั่นเอง ทำให้ No Time to Die เลื่อนฉายจากปี 2019 มาเป็นปี 2021 ทำให้ต่ออายุการเป็นบอนด์ของเขาออกไปอีก 2 ปี
8.เขาไม่ค่อยเต็มใจนักที่จะรับบทบอนด์ในทีแรก
แม้ว่า เจมส์ บอนด์ คือบทที่นักแสดงชายเกือบทั้งฮอลลีวูดต่างหมายปอง เพราะเป็นบทที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่จดจำ เป็นที่รู้จักของคนทั่วทั้งโลก และที่ตามมาคือรายได้ในระดับมหาศาล แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่เป็นที่สนใจของ แดเนียล เครก เอาเลย ในวันที่ บาร์บารา บรอกโคลี (Barbara Broccoli) ผู้ถือสิทธิ์ในการสร้างหนังเจมส์ บอนด์ ยื่นข้อเสนอให้กับเขา ยิ่งกว่าไม่สนใจ เครกถึงกับแสดงอาการต่อต้านเสียด้วยซ้ำ บรอกโคลีเล่าให้สื่อฟังว่า เธอถูกตาต้องใจเครกอย่างมาก
“มันเป็นช่วงเวลายาวนานที่ฉันพยายามอ้อนวอนให้เขารับบท”
จอห์น เมย์บูรี (John Maybury)ผู้กำกับและเป็นเพื่อนรักของเครก เผยเหตุผลที่เครกไม่อยากเป็น เจมส์ บอนด์ ว่า “มันเป็นทางเลือกที่ค่อนข้างหนักใจสำหรับเขา…..เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของเขาอย่างมาก”
9.งานสมรสของเขากับ ราเชล วีซ มีแขกร่วมงานเพียงแค่ 4 คน
เรา ๆ อาจจะเคยได้เห็นงานแต่งงานของซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวูดที่ล้วนจัดงานกันใหญ่โต มีแขกมาร่วมงานนับร้อย มีแชมเปญยาวเหยียด อาหารระดับเกรด A แต่เหล่านี้คุณจะไม่ได้เห็นในพิธีสมรสของ แดเนียล เครก กับ ราเชล วีซ (Rachel Weisz) ผลงานแสดงล่าสุดของเธอ Black Widow ฉายโรงภาพยนตร์อยู่ในขณะนี้, เครกได้รู้จักกับวีซตอนที่แสดงภาพยนตร์ร่วมกันเรื่อง Grandes Horizontales ในปี 1994 ในช่วงนั้นวีซเป็นภรรยาของ ดาเร็น อโรนอฟสกี้ (Darren Aronofsky) ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง วีซหมั้นกับอโรนอฟสกี้ในปี 2005 มีลูกชายด้วยกันในปี 2006 และหย่าขาดจากกันในปี 2010 ซึ่งเธอก็เริ่มคบหาดูใจจริงจังกับเครก และเข้าพิธีสมรสกันในปีต่อมา
ส่วนแขก 4 คนที่ได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ก็คือ เพื่อนสนิท 2 คนของทั้งคู่ และ เฮนรี่ ลูกชายของวีซที่เกิดกับอโรนอฟสกี้ และ เอลลา ลูกสาววัยรุ่นของเครกกับนักแสดงหญิง ฟิโอนา ลูดอน (Fiona Loudon)ที่เคยคบหากันเมื่อยุค90s
10.เป็นพ่อทูลหัวให้กับลูกชายของ มาร์ก สตรอง
มาร์ก สตรอง (Mark Strong)เป็นนักแสดงอังกฤษชื่อดัง มีผลงานในภาพยนตร์ฮอลลีวูดมากมาย ส่วนใหญ่มักจะรับบทเป็นตัวร้าย แต่บทที่สร้างชื่อให้เขาเป็นที่จดจำคือ เมอร์ลิน จากแฟรนไชส์ Kingsman มาร์ก สตรอง เป็นเพื่อนสนิทกับแดเนียล เครก มาอย่างยาวนาน ทั้งคู่เคยเช่าแฟลตอยู่ตึกเดียวกันในลอนดอน ทั้งคู่สนิทสนมกันถึงขั้น สตรองมอบตำแหน่งให้เครกเป็นพ่อทูลหัวของลูกชายเขาเอง เร็ว ๆ นี้สตรองได้ไปออกรายการทอล์กโชว์ the panel show เขาได้เล่าประสบการณ์ในอดีตของเขากับเครก เต็มไปด้วยเรื่องฮา ๆ มากมาย ทั้งตอนที่เขาพลาดการออดิชันบท หรือค่ำคืนที่เคยเมาหัวราน้ำกับเครกมาแล้ว และที่สำคัญเขาเคยพลาดบทตัวร้ายในหนังบอนด์มาแล้วด้วย ไม่งั้นเราคงได้เห็นเพื่อนรักในชีวิตจริง ต้องมาห้ำหั่นกันบนจอซะแล้ว