Release Date
21/10/2021
ความยาว
143 นาที
Our score
5.5Fast & Furious 9
จุดเด่น
- สานต่อแฟรนไชส์ก่อนไปสิ้นสุดซาก้าในภาคที่ 10 แฟนตัวจริงยังไงก็ต้องดู มีเปิดตัวละครใหม่ของจอห์น ซีน่าด้วย แถมฉากแอ็กชันยังโม้อึกทึกครึกโคมเช่นเคยดูในโรงถึงจะสมบูรณ์สุด ๆ
จุดสังเกต
- ไร้เสน่ห์ในแทบทุกส่วนของหนัง
-
บท
4.0
-
โปรดักชัน
7.5
-
การแสดง
5.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
6.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
6.5
เรื่องย่อ: ดอม โทเร็ตโต ปลีกตัวออกไปใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับเล็ตตี้และไบรอันลูกชายตัวน้อย แต่พวกเขาก็รู้ว่าแม้จะอยู่ในดินแดนสงบสุข ก็ยังมีอันตรายอยู่ คราวนี้ดอมต้องเผชิญหน้ากับบาปในอดีตของเขา ถ้าเขาต้องการจะปกป้องชีวิตของครอบครัวที่เขารักมากที่สุด ทีมนักซิ่งของเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อหยุดการทำลายล้างโลกโดยนักฆ่าและนักซิ่งฝีมือฉกาจซึ่งเขาคือ เจคอบ น้องชายของดอม
ในตัวอย่างหนังภาคนี้มีฉากหนึ่งที่แทบจะเป็นบทสรุปของหนังภาคนี้ได้เลยนั่นคือ ฉากที่ดอมและเล็ตตี้ขับรถหนีการไล่ล่าของทหารในป่า (ซึ่งถ่ายทำในจังหวัดกระบี่บ้านเรา) และเมื่อมาถึงสะพานแขวนข้ามเหวปรากฏว่าสะพานได้ขาดไปก่อนแล้วจากการหลบหนีอันทุลักทุเลของพวกโรมันและเท็จ และดอมได้ตัดสินใจขับชนคอสะพานที่เหลือและใช้ล้อเกี่ยวกับลวดสลิงที่เหลืออยู่หนึ่งเส้นเหวี่ยงตัวรถข้ามเหวหนีตายไปได้โดยไร้รอยขีดข่วน แม้รถจะหมุนคว่ำพลิกไปหลายตลบก็ตาม
หนังภาคนี้ก็ไม่ต่างกัน มันคือความพยายามหนีข้ามการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอันน่าทุลักทุเล โดยใช้พลังความเป็นพระเอกแบบไร้เหตุผลและพลังซีจีอีกมหาศาลที่คงเหลือแค่เอามาทำตัวละครเล่นแทนคนแสดงจริง เราก็คงเรียกว่าหนังการ์ตูนพิกซาร์ได้เต็มปาก มาแถผ่านอุปสรรคไปแบบน่าจะตื่นเต้นแต่ก็ไม่มีอะไรให้ลุ้นอีกแล้ว เพื่อเชื่อมไปภาคถัดไปอย่างเท่ ๆ ไร้รอยขีดข่วนหรือแม้แต่ทิ้งความรู้สึกผิดเป็นแผลใจให้ตัวละครนำสักนิดก็ยังไม่มี
การเปลี่ยนแปลงสำคัญในภาคนี้หนึ่งประการที่น่าจะสำคัญใกล้เคียงกับตอนที่หนังเปลี่ยนจากหนังแฟรนไชส์หนังรถแข่งข้างถนนแบบดิบ ๆ มาสู่ยุคหนังซูเปอร์ฮีโรในช่วงเปลี่ยนผ่านภาค 2 ที่ วิน ดีเซล (Vin Diesel) หายไปจากการเป็นตัวละครนำ ก่อนจะกลับมาร่วมกับผู้กำกับ จัสติน ลิน (Justin Lin) แบบชิมลางในภาค 3 และมาเต็มตัวในภาค 4 ที่เหมือนการรีบูตแฟรนไชส์นี้อย่างแท้จริงยาวมาถึงภาคปัจจุบัน
โดยหากสังเกตต้องบอกว่าหัวเรือใหญ่ทางความคิดที่ทำให้แฟรนไชส์นี้เป็นที่นิยมนอกจากดีเซลและลินแล้ว ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่านั่นคือวิสัยทัศน์ของ คริส มอร์แกน (Chris Morgan) มือเขียนบทที่ปั้นหนังมาตั้งแต่ภาค 3 จนถึงภาค 8 และอิ่มตัวทางความคิดสร้างสรรค์จนขอออกไปทำสปินออฟใน Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw (2019) ซึ่งก็เป็นตัวเทียบที่ดีกับหนังภาค 9 นี้เหมือนกัน
ซึ่งส่วนตัวเริ่มรู้สึกว่าทีมงานควรหยุดไปหาอย่างอื่นทำเพื่อรอให้มีความคิดสร้างสรรค์ดี ๆ ค่อยกลับมาทำตั้งแต่ภาค 7 แล้ว พอฝืนทำต่อทุก 2 ปีมันก็ต้องไอเดียตันที่สำคัญมันไม่ใช่หนังที่ทำแบบ 3 ภาคก็จบด้วย แต่อย่างว่าหนังยังทำเงินก็ต้องออกมาโกยในช่วงสังขารทีมงานยังดีอยู่ ก็เข้าใจได้
ในขณะที่มอร์แกนกลับตัวทันและเลือกไปหามุมมองใหม่ ๆ และจับเอกลักษณ์ตัวละครที่ยังหน้าไม่ช้ำ (มาก) อย่าง ฮอบบ์ส และ ชอว์ มาทำหนังคู่หูที่โคตรคอนทราสต์แต่ก็ยังมีมุมโคตรฮาโคตรมัน และแม้จะมีกลิ่นความโม้แบบจัดเต็ม แต่มันก็ยังให้ความบันเทิงกับผู้ชมได้และยังยืนพื้นในความสมจริงตามเซ็ตติ้งใหม่ของหนังที่โม้มาแต่เริ่มอย่างตัวร้ายที่เป็นซูเปอร์โซลเยอร์ได้ลงตัว (แน่นอน วาเนสซา เคอร์บี (Vanessa Kirby) คือของแก้เลี่ยนกล้ามที่โคตรดี)
ลินเลือกจะเขียนบทต่อเองในภาค 9 โดยไปจับมือเขียนบทหน้าใหม่ที่ยังไม่มีผลงานพิสูจน์ตัวเองอย่าง ดาเนียล เคซี่ (Daniel Casey) และอัลเฟรโด โบเตลโล (Alfredo Botello) และผลคือหนังเต็มไปด้วยฉากโม้ที่ขาดอารมณ์ร่วม ใช้มุกเล่นย่ำเท้าอยู่กับอุปกรณ์เดิม ๆ อย่างแม่เหล็ก, จรวดแทบตลอดเรื่อง แล้วคั่นด้วยฉากซิตคอมของตัวละครโรมัน เท็จ และแรมซี่ แบบดูรู้ว่าจัดวางแบบโคตรจงใจ (และไม่ค่อยขำ)
และคงต้องขออภัยสำหรับแฟนดีเซลด้วย เพราะดูมาถึงภาคนี้คงพูดได้เต็มปากแล้วว่าแกแสดงแบบหน้าเดียวแทบทั้งเรื่อง (ไม่นิ่งแบบเหมือนเศร้าลึก ก็ตาเชื่อมเหมือนพร้อมมีเซ็กซ์กับทุกตัวละครหญิง-ชายในเรื่อง) พอยิ่งขาดตัวละครรองระดับแม่เหล็กที่แสดงได้น่าสนใจอย่าง ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) หรือ เจสัน สเตแธม (Jason Statham) มาประคองมันยิ่งชัดเลยว่า โคตรน่าเบื่อ
ซึ่ง จอห์น ซีน่า (John Cena) ก็ยังไม่ใช่คนที่จะมาชดเชยได้พอ ยิ่งตัวร้ายใหม่อย่าง ออตโต ก็หาเสน่ห์ยังไม่เจอ แล้วตัวร้ายสุดเท่แบบไซเฟอร์ของ ชาร์ลิซ เธอรอน (Charlize Theron) ก็มีเวลาบนจอน้อยมากเหมือนรอไปเล่นภาคต่อมากกว่าจะมีบทจริงจัง ใด ๆ ที่ว่ามาคงเรียกว่าหนังขาดเสน่ห์ไปอย่างสมบูรณ์ทั้งการใช้ของเก่า และการคิดของใหม่
จุดที่ดีก็มีในแง่การหยอดใส่ตัวละครจากภาคเก่า ๆ ที่ทำได้หลายจุด ทั้งดึงเอานักแสดงรับเชิญมาเปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์หลายคนทั้งนักร้องอย่าง คาร์ดี บี (Cardi B) ซุปเปอร์สตาร์เจ้าของรางวัลแกรมมี่ และโอซูนา (Ozuna) แต่ก็คงว้าวซ่าสำหรับคอเพลงมากกว่าคอหนังที่คงทำหน้าแบบ แล้วไง? และที่ประทับใจก็การมาปรากฏตัวอีกครั้งของ เฮเลน มิร์เรน (Helen Mirren) รวมถึงการเอาตัวละครเก่ากลับมาอย่าง ฮาน ซึ่งก็ถือว่าแถแบบไม่ค่อยรับผิดชอบนักแต่ก็ไม่น่าเกลียด แต่แย่ตรงเอามาใช้โคตรไม่คุ้ม แทบนึกไม่ออกว่าพี่แกมีฉากน่าจดจำอะไรให้สมการฟื้นคืนชีพกลับมา
ที่สำคัญอีกประการคือหนังขาดการทำการบ้านกับเนื้อหาภาคเก่า ๆ ที่ดีพอ จุดขายภาคนี้คือ น้องชายของดอมที่ไม่เคยถูกพูดถึงจะมาเป็นตัวร้ายต่อกรกับดอม โดยได้ซีนามารับบท คำถามตั้งแต่ก่อนรับชมก็คือ คนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวโคตร ๆ แบบโคตร ๆ อย่างดอม ต่อให้มีเหตุหมางใจอะไรก็ตาม ทำไมถึงปล่อยเวลามาจนภาค 9 (ระยะเวลาของแฟรนไชส์คือกว่า 20 ปี) โดยไม่เคยตามหาเพื่อเคลียร์ใจมาก่อนเลย ซึ่งลินก็รู้จุดอ่อนตรงนี้และใส่เหตุการณ์ปมอดีตมาเพื่อทำให้ดูสมเหตุสมผล ทว่ามันสมเหตุสมผลแบบดันทุรังไปให้มันจบ ๆ ภาคเพื่อเอาไปเล่นภาคหน้าอีกแล้ว เพราะถึงจุดชี้ขาดก็คือ ดอมมันกลายเป็นตัวละครที่เห็นน้ำ (เพื่อน) ข้นกว่าเลือด (พี่น้อง) อยู่ดี แล้วไอ้ปมที่ไม่ยอมถามเหตุผลจนมารู้ความจริง มันดูอ่อนเหลือเกินสำหรับดอมที่ผ่านเหตุการณ์ทรยศเพื่อนในภาค 8 มาแล้วนั่นล่ะ
มันให้อารมณ์เหมือนในตัวอย่างหนังที่ โรมันอุทานว่า เฮ้ยเราต้องหยุดเจ้ารถบรรทุกยักษ์นี้จริง ๆ เหรอ? ซึ่งสำหรับคนดูคงทำหน้านิ่ง ๆ แล้วคิดในใจ น่าตกใจตรงไหน พวกแกเคยถล่มเมือง ถล่มเรือดำน้ำ ถล่มเครื่องบินที่กำลังจะขึ้นบินมาหมดแล้วนะเฮ้ย อารมณ์แบบนี้จะมีให้รู้สึกทั้งเรื่องจริง ๆ
และย้ำให้เห็นว่าการโม้แบบไม่สมจริงไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแย่เกี่ยวกับ Fast ภาคหลัง ๆ แต่เป็นการโม้ที่เริ่มย่ำเท้ากับที่ ฉากโชว์ไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าในภาคเก่า ๆ แล้ว แถมยังใช้ไอเดียซ้ำภาคก่อนค่อนข้างเยอะ เป็นแบบที่บอกว่าไม่ไหวอย่าฝืน ขืนออกมาทุก 2-3 ปีมาเกือบ 10 ภาคอย่างไรมันก็ตัน
ข้อดีของหนังเรื่องนี้ที่อยากเชิญชวนให้ชมคือ ฉากแอ็กชันเบอร์ใหญ่อย่างนี้ ดูในโรงจะได้พลังจอ พลังเสียงมาขับความยิ่งใหญ่ได้ดีที่สุดเท่านั้นจริง ๆ ส่วนตัวหนังสำหรับแฟนก็ควรดูนะเพื่อจะได้ไปสานต่อกับภาคจบได้เข้าใจ แต่คอหนังทั่วไปก็สุดแล้วแต่ปัจจัยแต่ละคนครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส