เชื่อว่าหลายคนคงจะได้ไปชมภาพยนตร์ ‘Resident Evil Welcome to Raccoon City’ จนจบกันไปแล้ว และคงจะมีมุมมองความเห็นต่าง ๆ หลังดูกันมากมาย ทั้งความเหมือนไม่เหมือนต้นฉบับ ทั้งที่ผู้กำกับก็ออกมาบอกกับแฟน ๆ ว่าจะรักษาความเป็นต้นฉบับเกมให้มากที่สุด ซึ่งถ้าใครที่เป็นแฟนเกมซีรีส์ ‘Resident Evil’ ได้มาดูเรื่องนี้คงจะได้เห็นสิ่งต่าง ๆ จากในเกม มาอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของตัวละครไปจนถึง ‘Easter Egg’ ที่ใส่ลงไปในภาพยนตร์ ที่เรียกว่าเอาใจแฟนเกมของแท้จริง ๆ แต่เราก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายอย่างที่หลายคนพลาดหรือลืมคิดไประหว่างชมภาพยนตร์ วันนี้เรามาเก็บตกส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง มาดูไปพร้อมกันเลย
คำเตือน เนื้อหาในบทความมีการเปิดเผยเนื้อเรื่องทั้งหมดของภาพยนตร์ Resident Evil Welcome to Raccoon City
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่จับเด็ก ๆ มาทดลองเหมือนในเกม
เริ่มต้นเรื่องแรกกับการเปิดตัวที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่ทำให้เรารู้จักสองพี่น้อง คริส เรดฟิลด์ (Chris Redfield) และ แคลร์ เรดฟิลด์ (Claire Redfield) ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองแร็กคูน ที่เราจะทราบว่าเด็กที่นี่หลายคนถูกจับมาทดลองเพื่อสร้างเชื้อไวรัส โดยมี วิลเลียม เบอร์กิน (William Birkin) เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ก่อนที่เราจะทราบว่าแคลร์นั้นก็เกือบจะโดนจับมาทดลอง แต่เธอสามารถหนีออกมาจากที่นั่นได้ โดยที่พี่ชายของเขาไม่คิดจะไปตามหาน้อง แถมยังไม่พอใจเมื่อเห็นแคลร์มาหาตนที่บ้านหลังจากหายไป 5 ปี ซึ่งถ้าเราย้อนกลับมาดูเนื้อหาในเกม ‘Resident Evil 2 Remake’ เราจะทราบว่าสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้บริหารงานโดย ‘Umbrella Corporation’ เพื่อหาตัวทดลองที่เป็นเด็ก ซึ่งถูกเลี้ยงดูในฐานะผู้สมัครสำหรับการวิจัยไวรัส โดยทางสถานรับเลี้ยงจะหลอกประชาชนว่าเด็กคนนั้นได้รับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว พร้อมกับสร้างข้อมูลปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกทุกคน ซึ่งภายหลังที่มีการรั่วไหลของเชื้อไวรัสในเกม ทาง ‘Umbrella Corporation’ ก็สั่งกำจัดเด็กที่เป็นตัวทดลองทั้งหมดเพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล ซึ่งเราสามารถรับรู้ข้อมูลได้ตอนที่เล่นเป็น เชอร์รี่ เบอร์กิน (Sherry Birkin) ซึ่งเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่หลายคนลืมไปแต่ในภาพยนตร์ก็เอาจุดนี้มาใช้
Jii Sandwich ประโยคที่อยู่ในภาพยนตร์
คราวนี้มาดูประโยคที่เป็น ‘Easter Egg’ ซึ่งใครที่เป็นแฟน ‘Resident Evil’ ภาคแรกสุดบนเครื่อง ‘PlayStation 1’ คงจะอมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยในฉากของร้านอาหาร ตอนที่หน่วย S.T.A.R.S. กำลังนั่งทานอาหารในร้านหลังจากการท้ายิงปืนของเล่น ตัวประกอบหญิง จิล วาเลนไทน์ (Jill Valentine) ก็พูดคำว่า “Jii Sandwich” ขึ้นมา ซึ่งคำนี้เป็นประโยคที่แฟน ๆ ‘Resident Evil’ ยุคแรก ๆ ชอบเอามาพูดถึงกัน เพราะมันคือคำที่ แบร์รี่ เบอร์ตัน (Barry Burton) ตัวละครที่ถูกตัดไปจากในภาพยนตร์ พูดกับจิลหลังจากช่วยชีวิตเธอจากกลไกเพดานทับว่า “เธอเกือบกลายเป็น ‘Jill Sandwich’ ไปแล้ว” จนทำให้หลายคนประทับใจกับคำนี้จนโด่งดัง ขนาดเกม ‘Dead Rising’ ภาคแรกยังเอาเรื่องนี้มาล้อ ด้วยการใส่ร้าน ‘Jii Sandwich’ ลงไปในเกม ส่วนร้านอาหารที่อยู่ในภาพยนตร์ก็มีความคล้ายกับร้านอาหารในเกม ‘Resident Evil 2’ ฉบับเก่าในเนื้อเรื่องของแคลร์อีกด้วย เรียกว่าจัดเต็มเลยจริง ๆ
จะตายด้วยงูยักษ์หรือฉลามยักษ์กินประโยคคำถามที่เป็นจริงในเกม
ถัดมาที่ฉากห้องทำงานของหน่วย S.T.A.R.S. ก็มีอีกหนึ่ง ‘Easter Egg’ ที่คนเล่นเกมเท่านั้นจะเข้าใจ กับสิ่งที่จิลถาม ริชาร์ด ไอเคน (Richard Aiken) ว่าถ้าเลือกตายได้จะตายแบบไหน “ระหว่างถูกงูยักษ์กลืนไปทั้งตัวหรือจะโดนฉลามยักษ์คาบไปกิน” ซึ่งคนที่เล่นเกม ‘Resident Evil Remake’ คงจะทราบดีว่าสิ่งที่จิลในภาพยนตร์พูดนั้น คือสิ่งที่ริชาร์ดต้องเจอในเกมทั้งสองแบบ โดยในเนื้อเรื่องของคริสเราจะเจอริชาร์ดบาดเจ็บเพราะโดนงูยักษ์กัด คริสจึงต้องรีบไปหาเซรุ่มมารักษา ซึ่งถ้าเรารักษาไม่ทันริชาร์ดจะเสียชีวิตเพราะพิษ แต่ถ้าเรารักษาเขาได้ทัน ริชาร์ดคนดีคนเดิมก็จะมาตายเพราะถูกฉลามยักษ์ในห้องทดลองใต้ดินกินอยู่ดี ส่วนในเนื้อเรื่องของจิลถ้าเราทำตามเงื่อนไขที่เกมกำหนด ริชาร์ดจะมาช่วยจิลจากการถูกงูยักษ์กัดจนเขาโดนงูกินทั้งตัว เรียกว่าเป็น ‘Easter Egg’ ที่สยองพอควร ซึ่งคนที่เล่นเกมมาแล้วคงทำหน้าแบบเดียวกับในภาพยนตร์
เก็บตก Easter Egg น่าสนใจในภาพยนตร์ที่คุณมองข้ามไป
ยังอยู่กับ ‘Easter Egg’ กับฉากของสองพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันนานของคริสและแคลร์ในบ้าน ซึ่งก่อนที่คริสจะลงมาจากห้องนอน แคลร์ได้หยิบหมวกอเมริกันฟุตบอลมาสวม ที่ทำให้หลายคนคิดถึงหมวกที่อยู่ในบ้านครอบครัวเบเกอร์ในเกม ‘Resident Evil 7’ ที่ก็มีหมวกทรงนี้แบบนี้ในบ้าน และนั่นยังอาจจะหมายถึงตัวตุ๊กตานักอเมริกันฟุตบอล ‘Mr. Everywhere’ ที่เราต้องเก็บในเกมด้วย ส่วนฉากเปียโนในภาพยนตร์ก็ตรงกับในเนื้อเรื่องในเกม ซึ่งในเนื้อเรื่องของจิลนั้นเธอจะเล่นเปียโนด้วยตัวเอง แต่ของคริสต้องใช้ รีเบ็คก้า แชมเบอร์ (Rebecca Chambers) ช่วยในการเล่น โดยเพลงเปียโนที่ในภาพยนตร์ใช้ก็เป็นเพลงเดียวกับในเกมก็คือเพลงเดียวกัน นั่นคือเพลง ‘Moonlight Sonata’ ส่วนคำที่คุณแม่ผมร่วงเขียนที่กระจกคำว่า ‘Itchy Tasty’ ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาแคลร์ ก็เป็นหนึ่งในประโยคของเอกสารในเกมภาคแรก ที่เป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่สติความเป็นมนุษย์ของคนเขียนจะหายไป เรียกว่าใส่ใจในรายละเอียดแบบสุดจริง ๆ
ไวรัสรั่วไหลลงระบบประปาเหมือนของจริง Flint water crisis
คราวนี้มาดูเรื่องราวที่อยู่ในภาพยนตร์ ที่บอกเล่าเกี่ยวกับการแพร่เชื้อไวรัสของ ‘Umbrella Corporation’ ใส่ในระบบน้ำประปาของเมืองแร็กคูน จนทำให้ประชาชนป่วยอย่างช้า ๆ ซึ่งถ้าใครที่ได้เล่นเกม ‘Resident Evil Outbreak’ มา จะทราบดีว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ชาวเมืองแร็กคูนกลายเป็นซอมบี้นั้น ก็มาจากการปนเปื้อนในระบบน้ำประปาของเมือง ที่ตัวละคร จอร์จ แฮมิลตัน (George Hamilton) เป็นคนค้นพบว่าน้ำประปาของเมืองนั้นปนเปื้อนเชื้อ ‘T-Virus’ ที่ทำให้ประชาชนป่วย หลังจากที่วิลเลียม เบอร์กินถูกฆ่าและกลายเป็นสัตว์ประหลาด ‘G’ จนทำให้เชื้อ ‘T-Virus’ แพร่กระจายผ่านหนูที่มากินเชื้อไวรัส และส่วนหนึ่งก็ซึมเข้าไปในระบบน้ำประปา เหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในอเมริกา ที่มีสารปนเปื้อนในระบบน้ำประปาจนทำให้ชาวเมืองป่วย ที่ในตอนนั้นเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘Flint water crisis’ นับเป็นการหยิบเรื่องราวที่มีอยู่จริงและในเกมต้นฉบับที่เอามาใส่ได้อย่างลงตัว
นิสัยความสัมพันธ์บทตัวละครถูกเปลี่ยนจนเพี้ยน
ในบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง โยฮันเนส โรเบิร์ตส์ (Johannes Roberts) ได้บอกกับแฟน ๆ เอาไว้ว่าเขาจะคงเนื้อหาของภาพยนตร์ให้ตรงกับต้นฉบับในเกมให้มากที่สุด เพราะเขาเองก็เป็นแฟนเกมซีรีส์นี้จึงรู้ดีว่าแฟน ๆ ต้องการอะไร ซึ่งความเป็นจริงนั้นทุกอย่างกลับตรงข้ามหมด โดยเฉพาะนิสัยของตัวละครที่เริ่มตั้งแต่คริสที่ดูไม่สนใจน้องสาวเลย จิลก็ดูเป็นสาวแกร่งพร้อมลุยเกินต้นฉบับที่ดูอ่อนแอขี้กลัว อัลเบิร์ต เวสเกอร์ (Albert Wesker) ยิ่งหนัก เพราะแทนที่เราจะได้เห็นความสุขุมดูแล้วเหมาะจะเป็นหัวหน้าของหน่วยพิเศษ แต่ในภาพยนตร์เรากลับได้เห็นชายมีทุกอย่างตรงข้ามกับเวสเกอร์ในเกมทุกอย่าง แบบไม่เหลือความเป็นเวสเกอร์เลยนอกจากชื่อ หรือเอาง่าย ๆ เวลสเกอร์ของฉบับ พอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สัน (Paul W. S. Anderson) ยังมีความคล้ายในเกมมากกว่า นี่ยังไม่นับการรักครอบครัวของวิลเลียม ที่ในเกมนั้นเขาแทบไม่สนใจครอบครัวหรือลูกสาวเลย และที่หนักสุดคือพ่อหนุ่มหัวฟูจนหัวหน้าต้องด่าให้ไปตัดผม อย่าง ลีออน เอส เคนเนดี (Leon S. Kennedy) ที่เขาแทบจะเรียกว่านายคือใครเราไม่รู้จักได้เลยทีเดียว เพราะตลอดทั้งเรื่องลีออนเราทำได้แค่ทำตัวเป็นแค่ตัวประกอบทั่วไปที่ยืนประดับในฉากเท่านั้น เพราะเขาแทบไม่มีอะไรที่โดดเด่นแถมยังขี้กลัวยืนมึน ๆ งง ๆ ทั้งที่เห็นศพไฟลุกเดินเข้ามาในโรงพักยังยืนงง เรียกว่าบทตัวละครแบบนี้ในหนังซอมบี้ทั่วไปคือโดนกินไปแล้ว ซึ่งตรงจุดนี้คือสิ่งที่แฟน ๆ ขัดใจกันมากที่สุด นี่ยังไม่นับ ลิซา ทรีเวอร์ (Lisa Trevor) ตัวละครสำคัญสุดโหดของเกมที่เอามาทำแค่นี้เสียดายของบอกเลย
ใช้คำหยาบเยอะเกินกว่าต้นฉบับที่ไม่มีเลย
ต่อเนื่องจากหัวข้อก่อน ที่ทางโยฮันเนสบอกกับเราว่าจะรักษาความเป็น ‘Resident Evil’ ต้นฉบับให้มากที่สุด แต่เขาคงจะลืมไปว่าในตัวเกมต้นฉบับ ‘Resident Evil’ เกือบทุกภาคเป็นเด็กดีมาตลอด เพราะเราแทบจะไม่เห็นตัวละครพูดคำหยาบออกมาเลย จะมีเพียงแค่ ‘Resident Evil Revelations 2’ ที่เราจะได้ยินเยอะที่สุด แต่ในภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะ 2 ภาคแรกนั้นไม่มีใครพูดคำหยาบเลย แต่ในภาพยนตร์บอกเลยว่าพูดคำด่าคำอุทานอีกคำได้เลยทีเดียว ซึ่งถ้าคุณจะบอกว่ามันคือความสมจริงก็ถูกและใช่ เพราะเราก็คงอุทานแบบนี้ถ้าเจอแบบพวกเขา แต่อย่าลืมว่าต้นฉบับมันไม่มีแบบนี้ และขอแสดงความยินดีกับคนที่ชมพากย์ไทยที่คงจะลดตัดคำพวกนี้ออกไป แต่ถ้าคุณดูฉบับซับไทยบอกเลยว่าเอียน
แว่นตาของ Albert Wesker ที่รอคอยกับ Ada Wong ที่มาทำไมป่านี้
กระโดดข้ามมาที่ ‘End Credits’ ของเรื่อง ถ้าใครยังไม่รีบลุกออกไปจากโรงภาพยนตร์ เราจะทราบว่าตัวของเวสเกอร์นั้นไม่ตาย พร้อมกับได้รับเชื้อบางอย่างใส่ตัวจนฟื้นพร้อมกับอาการแพ้แสงขั้นรุ่นแรง จนต้องใส่แว่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ที่แฟน ๆ บ่นกันในตอนเห็นตัวอย่างว่าทำไมเวสเกอร์ไม่ใส่แว่นกัน คราวนี้เราก็ได้คำตอบกันแล้ว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์นั้นก็เหมือนกับในเกม เพราะเวสเกอร์ในเกมนั้นก็ได้รับเชื้อไวรัสมาจากวิลเลียม ก่อนจะแกล้งทำเป็นถูกฆ่าตายเพื่อหลอกทุกคนให้คิดว่าตายแล้ว เขาจะได้แอบทำงานลับ ๆ ในเงามืดได้ โดยสิ่งแรกที่เขาทำก็คือการช่วย เอดา วอง (Ada Wong) ที่พยายามหนีออกไปจากเมือง ด้วยการช่วยเหลือเธอในวินาทีสุดท้าย จนเอด้าต้องมาทำงานให้เวสเกอร์ในเกมภาคที่ 4 ซึ่งสลับกับในภาพยนตร์ที่เอด้ากลับเป็นคนช่วยเวสเกอร์และใช้เขาทำงานต่อแทน ซึ่งการปรากฏตัวของเอด้าก็เรียกความตกใจให้แฟน ๆ พอสมควร กับคำพูดที่ว่า “แม่มาทำอะไรป่านนี้ครับ เรื่องมันจบไปชาติหนึ่งแล้วเพิ่งจะปรากฏตัวออกมาเพื่อ” ทั้งที่เธอคือหนึ่งในตัวสำคัญในเรื่องไม่แพ้คนอื่น แต่ทำไงได้ ขนาดลีออนที่เป็นพระเอกยังถูกจัดเป็นตัวประกอบชายเท่านั้น ถ้ามีเอด้ามาอีกคนคงกลายเป็นตัวประกอบหญิงไปอีกคนแน่นอน ต่างกับภาพยนตร์ฉบับเก่าของพอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สัน ที่เอด้าแม้จะออกมาไม่เยอะแต่ก็ขโมยซีนความเด่นจนแฟน ๆ จดจำในความเหมือนในเกมได้เป็นอย่างดี
เรื่องราวที่สานไปยังภาคต่อไป
ปิดท้ายกับข่าวดีที่แฟน ๆ ‘Resident Evil’ ต้องดีในมาก ๆ เมื่อทราบว่าโยฮันเนสผู้กำกับ ‘Resident Evil Welcome to Raccoon City’ อาจจะได้ไฟเขียวทำภาคต่อของซีรีส์นี้ โดยภาคที่เขาต้องการสร้างต่อในชื่อ ‘Resident Evil Welcome to Raccoon City 2’ นั้นอาจจะเป็นเรื่องราวในเกม ‘Resident Evil 4’ ซึ่งเล่าถึงเรื่องราวของลีออนที่รอดชีวิตมาจากเมืองแร็กคูน เริ่มเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนเอาถ่านด้วยการไปสมัครเป็นหน่วยพิเศษ พร้อมกับการได้ภารกิจช่วยลูกสาวประธานาธิบดีตามในเกม ซึ่งเอาจริง ๆ เรื่องราวในเกมภาคนี้มีเนื้อเรื่องน้อยกว่าในเกม 2 ภาคที่เราดูกันเสียอีก ถ้าเป็นแบบนั้นทางผู้กำกับคงต้องหยิบเกม ‘Resident Evil Code Veronica’ มาใส่ด้วย เพราะในภาคนั้นเราจะได้เห็นทั้งแคลร์และคริสแถมด้วยเวสเกอร์ในเกมภาคนี้แบบครบองค์ ประมาณว่าเอาลีออนเป็นตัวหลักที่ไปช่วยลูกสาวประธานาธิบดีพร้อมกับการพบเอด้าที่นั่น ตัดสลับกับแคลร์ที่ถูกจับไปยังเกาะปริศนา ที่มีการทดลองไวรัสโดยมีเวสเกอร์อยู่เบื้องหลัง พร้อมกับคริสที่มาช่วยน้องสาว (เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น) ถ้าเป็นแบบนี้รับรองว่าเละ ไม่สนุกอย่างแน่นอน และถ้าใครยังจำได้ในภาพยนตร์ก็มีฉากของสองพี่น้อง ‘Ashford’ อยู่ด้วย เหมือนเป็นการปูทางบอกใบ้เราให้รู้อ้อม ๆ ว่าอาจจะเกิดขึ้นก็ได้ ยังไงก็ไปติดตามกันในอนาคต ถ้ามีข่าวเราจะรีบมารายงานให้ทราบ
ก็จบกันไปแล้วกับการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ของภาพยนตร์ ‘Resident Evil Welcome to Raccoon City’ ในจุดต่าง ๆ ที่หลายคนไม่รู้หรือมองข้ามไปมานำเสนอ โดยในเนื้อหาจะข้าม ‘Easter Egg’ ที่เห็นได้ชัด ๆ อย่างพวกตุ๊กตาหรือฉากต่าง ๆ ที่ภาพยนตร์ใส่ลงไป เพราะเชื่อว่าหลายคนที่เล่นเกมมาคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว หวังว่าจะถูกใจกันไม่มากก็น้อย ส่วนใครที่ดูมาแล้วและอยากรู้ว่าตัวเกม ‘Resident Evil’ สนุกขนาดไหนก็ไปลองหามาเล่นกันได้ รับรองว่าคุณต้องตกหลุมรักเกมซีรีส์นี้อย่างแน่นอน ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับวงการเกมการ์ตูนภาพยนตร์ ก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียวรับรองไม่พลาดทุกข่าวสารแน่นอน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส