นับตั้งแต่ปลายยุค 70 เป็นต้นมา CGI หรือ Computer Generated Imagery ได้มีบทบาทในการสร้างภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิกให้กับภาพยนตร์ Hollywood มากมาย ซึ่งตัวอย่างล่าสุดก็คือ The Jungle Book และในอดีตก็มีภาพยนตร์มากมายที่ดัดแปลงวิธีการใช้ CGI จนทำให้สามารถขยายขอบเขตและรูปแบบการใช้ CGI ไปอย่างสิ้นเชิง มาดูกันว่ามีภาพยนตร์เรื่องใดกันบ้าง
23. “The Black Hole” (1979)
นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์น่ารักใสๆ ธรรมดาของ Disney เพราะไม่เพียงแค่เรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องได้ควบคุมการส่งยานอวกาศมุ่งหน้าไปสู่หลุมจะสร้างความตื่นเต้นได้เป็นอย่างมากในเวลานั้น แต่มันยังแสดงให้เห็นงานภาพด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิกอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
22. “The Perfect Storm” (2000)
ภาพยนตร์ของ Wolfgang Petersen เรื่องนี้บอกเล่าโศกนาฏกรรมของเหล่าลูกเรือที่ต่อสู้กับมหาพายุที่เกิดขึ้นจริงในปี 1991 ได้อย่างสมจริง และต้องขอบคุณ CGI ที่ทำให้เราได้เห็นภาพคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่มีวันจบสิ้น
21. “Pan’s Labyrinth” (2006)
ไม่เพียงแค่งานเอฟเฟคพื้นฐานและงานออกแบบเครื่องแต่งกายจะสร้างโลกแฟนตาซีอันเหลือเชื่อในภาพยนตร์คลาสสิคของ Guillermo del Toro เรื่องนี้เท่านั้น แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังใช้ CGI เพื่อสร้างโลกอันแตกต่างในการผจญภัยในจินตนาการของเด็กสาวได้อย่างน่าทึ่ง
20. “300” (2006)
นี่คือภาพยนตร์มหาศึกนองเลือดของชาวสปาตันกับชาวเปอร์เซียที่มีโทนแสงสีส้ม นักรบหุ่นกำยำกล้ามท้องซิกแพ็ค และองค์ประกอบตรงตามที่ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนของ Frank Miller ที่ผู้กำกับ Zack Snyder ได้แสดงให้เห็นว่าสามารถนำศิลปะมาผนวกรวมกับเทคนิคพิเศษและฉากแอ็คชั่นมากมายได้อย่างไร ซึ่งเทคนิคนี้ได้ถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์อีกนับไม่ถ้วน
19. “The Curious Case of Benjamin Button” (2008)
นับตั้งแต่ยุค 80 เป็นต้นมา ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Frank Oz และ Steven Spielberg สนใจและหาวิธีที่จะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับชายผู้ซึ่งมีอายุที่ย้อนกลับ และในที่สุดเทคโนโลยีก็พัฒนาจนสามารถทำได้ในยุค 2000 ด้วยฝีมือของผู้กำกับ David Fincher และยังได้หนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคอย่าง Brad Pitt มากรับบทนำด้วย
18. “Sin City” (2005)
ผลงานการ์ตูนของ Frank Miller ถูกนำมาขึ้นจอเงินอีกครั้ง ด้วยฝีมือของผู้กำกับ Robert Rodriguez ที่เลือกใช้โทนภาพสีขาวดำพร้อมเติมสีปกติเข้าไปบ้างในบางองค์ประกอบตามหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ และต้องขอบคุณ CGI ที่ช่วยสร้างให้ภาพจากหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้เป็นจริงได้ในที่สุด
17. “District 9” (2009)
ผู้กำกับ Neill Blomkamp ได้ออกแบบเอเลี่ยนออกมาได้อย่างสมจริงโดยมีลักษณะคล้ายกับปูผสมแมลง และด้วยประสบการณ์ในการทำงานด้านวิช่วลเอฟเฟคต์มาก่อนช่วยให้เขาสามารถยกระดับภาพ CGI ได้มากขึ้นอีก
16. “Inception” (2010)
เพื่อสนองต่อจินตนาการของ Christopher Nolan ในการสร้างฉากความฝันใน Inception หลายฉากจึงถูกถ่ายทำให้สถานที่จริงเพื่อความสมจริง แต่สำหรับฉากเมืองถล่มในตอนท้ายนั้นมีเพียง CGI เท่านั้นที่จะสร้างฉากเหล่านั้นขึ้นให้ตรงกับความต้องการของผู้กำกับได้อย่างสมจริงที่สุด
15. “War of the Worlds” (2005)
Steven Spielberg ได้นำนวนิยายคลาสสิคมาสร้างได้อย่างน่าทึ่ง โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ฉากระเบิดสะพาน Bayonne Bridge ที่เชื่อมต่อระหว่างเมือง New York และ New Jersey ซึ่งในตอนแรกคิดว่าจะทำเป็นเพียงฉากระเบิดปั๊มน้ำมัน แต่ Steven Spielberg ต้องการให้ภาพออกมายิ่งใหญ่กว่านั้น จึงเป็นหน้าที่ของบริษัท CGI อันดับหนึ่งอย่าง Industrial Light and Magic หรือ ILM ของ George Lucas เป็นผู้รับผิดชอบฉากนี้ และกลายเป็นฉากสำคัญของภาพยนตร์ไปเลย
14. “King Kong” (2005)
Peter Jackson มักชื่นชอบในการทำผลงานคลาสสิคอย่าง The Lord of the Rings และ The Hobbit มาดัดแปลง และกับ King Kong นั้น ได้ Andy Serkis มารับบทลิงยักษ์ได้อย่างสมจริง และถึงแม้ว่าผู้ชมส่วนใหญ่จะไม่รู้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลิงยักษ์ตัวนี้มันยอดเยี่ยมและน่าทึ่งเพียงใด
13. “The Day After Tomorrow” (2004)
ผู้กำกับ Roland Emmerich เคยสร้างภาพยนตร์บล็อคบัสเตอร์ถล่มโลกมาแล้วหลายเรื่อง (Independence Day และ 2012) แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ภาพที่ได้นั้นสวยงามที่สุดในการสร้างยุคน้ำแข็งขึ้นมาใหม่
12. “Transformers” (2007)
อย่างที่ทราบกันดีว่า Michael Bay ถนัดในการสร้างภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่มากมาย และกับ Transformers ภาคแรก ก็แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถนำความคลาสสิคในการสร้างแบบเดิมๆ มาผสมผสานกับฉากวินาศสันตะโรในยุคใหม่ได้อย่างไร
11. “Rise of the Planet of the Apes” (2011)
ผ่านมา 40 ปี จากภาพยนตร์ต้นฉบับ ในที่สุดก็ได้มีการนำ Planet of the Apes มารีบู๊ตใหม่ และ Andy Serkis คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังงาน CGI ที่สร้างตัวละครผู้นำของฝูงลิงที่ชื่อ Ceasar ออกมาได้สมจริงและมีความเป็นธรรมชาติที่สุด
10. “Minority Report” (2002)
ผู้กำกับ Steven Spielberg ได้ใช้ CGI ในการสร้างภาพโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆที่อาจจะเป็นจริงในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า และน่ากลัวมากที่เทคโนโลยีบางอย่างได้ถูกนำมาใช้จริงแล้ว
9. “Pirates of the Caribbean: Dean Man’s Chest” (2006)
แฟรนไชส์ “Pirates of the Caribbean” นั้นถูกยกระดับขึ้นมาทันทีด้วยภาคที่ 2 ที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมได้อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยการสร้างตัวละคร Davy Jones (Bill Nighy) ที่มีหนวดนับไม่ถ้วนอยู่บนใบหน้า และได้กลายเป็นงานที่พิสูจน์ฝีมือของ Industrial Light and Magic ในยุคหลังๆนี้ไปเลย
8. “The Abyss” (1989)
ในยุคแรกเริ่มของ CGI ผู้กำกับ James Cameron ได้สร้างภาพยนตร์ทริลเลอร์เกี่ยวกับใต้น้ำที่สั่นสะเทือนวงการมาก ภาพเอเลี่ยนที่ปรากฏตัวใต้น้ำนั้น แสดงให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์สามารถสร้างภาพที่สื่อถึงอารมณ์ได้ดีมากเพียงไร
7. “TRON” (1982)
Disney นำผู้ชมเข้าสู่โลกของเกมโดยการสร้างโลกที่แสนจะเหลือเชื่อขึ้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องแรกๆที่สร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์แทบตลอดทั้งเรื่อง โดยถ่ายทำเป็นภาพขาว-ดำ และเติมสีลงไปทีหลัง
6. “Terminator 2: Judgment Day” (1991)
ในปี 1984 ผู้กำกับ James Cameron ได้ใช้เทคนิคเอฟเฟคมากมายในการสร้างตัวละครวายร้ายคลาสสิคขึ้นมาใน The Terminator แต่สำหรับภาคต่อในปี 1991 ตัวร้ายจะต้องน่ากลัวมากกว่าเดิม และเขาก็สร้างตัวละคร T-1000 ที่เป็นโลหะเหลวขึ้นมา และมันก็เป็นสิ่งที่พลิกวงการ CGI ในการสร้างภาพยนตร์ไปอย่างสิ้นเชิง
5. “The Matrix” (1999)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยกระดับภาพยนตร์แอ็คชั่นได้โดดเด่นที่สุดในช่วง 20 ปีมานี้ และสิ่งสำคัญที่สุดคืองานเทคนิดด้านภาพซึ่งสร้างโดย CGI และเป็นภาพที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน และมันก็ได้เปลี่ยนวิธีการถ่ายทำภาพยนตร์แอ็คชั่นในยุคหลังนี้ไปเลย
4. “The Lord of the Rings: The Two Towers” (2002)
Peter Jackson สร้าง “Lord of the Rings” ได้อย่างน่าประทับใจ แต่การปรากฏตัวของ Gollum (รับบทโดย Andy Serkis อีกแล้ว) ในภาคต่อมานั้นยิ่งทวีความน่าทึ่งมากขึ้น โดยงานสร้างใบหน้าและการเคลือนไหวของ Gollum นั้นเป็นผลงานของ Weta Workshop และมันยังยกระดับเทคโนโลยี CGI มากขึ้นไปอีก
3. “Avatar” (2009)
James Cameron ได้สร้างผลงานด้านภาพที่ยกระดับเทคโนโลยี CGI ได้อย่างสุดยอดกับ “Avatar” และด้วยเทคนิค Motion Capture แบบใหม่ที่พัฒนามาตั้งแต่ยุค 90 คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำลายแทบทุกสถิติบนโลกภาพยนตร์
2. “Jurassic Park” (1993)
หนึ่งในผลงานระดับขึ้นหิ้งของ Industrial Light and Magic กับการสร้างไดโนเสาร์ใน “Jurassic Park” ให้ดูเหมือนมีชีวิตด้วย CGI และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ George Lucas เริ่มพัฒนา “Star Wars” Episode 1-3 ต่อไป เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีได้พัฒนาจนถึงจุดที่สามารถสร้างสิ่งที่เขาต้องการได้แล้ว
1. “Star Wars” (1977)
Star Wars ไตรภาคต้นฉบับ คือสิ่งที่เป็นเหมือนต้นแบบของงาน CGI ในยุคต่อมา ซึ่งบริษัท Industrial Light and Magic ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดย Geroge Lucas เพื่อสร้างเอฟเฟ็คต์ตามที่เขาต้องการใน “Episode IV” ถึงแม้ว่าจะมีงานเอฟเฟ็คต์พื้นฐานอยู่มาก แต่ก็มีหลายฉากที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ เช่น ฉากการโจมตี Death Star ในตอนท้ายเรื่อง เป็นต้น
ที่มา : techinsider