ชื่อเรื่อง High-Rise จากนิยายชื่อเดียวกันของ J.G. Ballard ที่เขียนในปี 1975 ว่าสูงแล้วนะ เนื้อในนี่ยิ่งกว่าสูงแล้วสูงอีก เรียกว่าปีนกระไดคงไม่พอล่ะครับงานนี้ และนี่คือ 1 ในหนังดีสัปดาห์นี้ที่แอบเข้าและคงแอบออกไปโดยไม่ทันรู้สึกตัวล่ะนะ ใครชอบแนวนี้ไม่ควรพลาด ว่าแต่ไอ้แนวนี้ที่ว่านี่คือแนวไหน โปรดอ่านอย่างระวัง
J.G. Ballard เป็นนักเขียนนิยายที่มีผลงานคลาสสิคๆ เยอะเหมือนกันนะ อย่างเอาที่ถูกนำไปทำหนังแล้วเปรี้ยงปร้างก็มี Empire of the Sun (1987) ของป๋า Steven Spielberg กับ Crash (1996) ของป๋า David Cronenberg งานแกก็ตามตัวอย่างล่ะ เน้นดราม่าเน้นปรัชญากระตุ้นให้คิด สะท้อนสังคมสะท้อนความเป็นคน คือตัวนิยายก็ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ ใครเป็นแฟนคลับซีรี่ย์อภิปรัชญาอังกฤษอย่าง Dr.Who แบบเหนียวแน่นถ้าเคยได้ดูตอนที่ชื่อว่า Paradise Towers ก็นี่ล่ะครับเอามาจากนิยายไฮ-ไรส์ นี่เหมือนกัน
หนังเล่าตามนิยาย เอาตามที่ค่ายหนังโปรโมทเลยก็ว่าด้วยเรื่อง ดร.โรเบิร์ต แลงก์ (ทอม ฮิดเดิลสตัน หรือโลกิ ของแฟนๆมาร์เวลนั่นล่ะ) คุณหมอผู้เพียบพร้อมที่ถูกล่อเข้าไปอาศัยในชั้นที่ 25 ของตึกหรูระฟ้าของสถาปนิก แอนโทนี รอยัล (ป๋าฝีมือเก๋า เจเรมี ไอเอินส์) ซึ่งตั้งอย่างโดดเด่นกลางกรุงลอนดอน โดยเขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อความความยุติธรรมของชั้นต่างๆ ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนแห่งชนชั้น ที่ทุกคนต่างแสวงหาในชีวิต เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในจุดที่สูงกว่า ทั้งนี้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ ดร.โรเบิร์ต ต้องเลือกวิถีทางของตัวเอง ท่ามกลางสัมคมที่วัดระดับคนจากชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ หน้าที่การงาน และไม่มีความสงบสุขที่แท้จริง ดร.โรเบิร์ตจะเลือกอะไร ระหว่างการได้รับเกียรติและเสพสุขต่อไป หรือลุกขึ้นทวงคืนความเท่าเทียม?
ผมก็เข้าไปดูด้วยความรู้เรื่องเท่านี้ล่ะ โอเคหนังน่าจะว่าด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์พอประมาณ เดาเอาจากที่นิยายออกมาในช่วงทศวรรษ 1970 บวกกับเรื่องย่อที่ว่าด้วยเรื่องชนชั้น แต่พอเอาเข้าจริง เฮ้ย! เตรียมตัวเตรียมใจมาแค่นี้ไม่พออ่ะ แล้วพี่ทอมก็ไม่ได้เลือกสู้อะไรมากมายอย่างที่เรื่องย่อบอกด้วย นึกว่าจะเป็นหนังลุกขึ้นสู้แบบมีแอ็กชั่นใหญ่ๆแล้วเชียวนะ T^T
หนังต้องบอกว่าโคตรทะเยอทะยานมากๆ แบบที่เข้าใจเลยว่าผู้กำกับสัญชาติอังกฤษ Ben Wheatley ที่ถือเป็นคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองมากๆ จะทุ่มพลังใส่แบบไม่ยั้งแน่ๆ เอาแค่ว่าด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวสุดลึกซึ้งของป๋า เจ.จี. นี่ก็ยากเย็นละ ขนาดว่าโปรดิวเซอร์ของหนังอย่าง Jeremy Thomas ซื้อลิขสิทธิ์มาไว้ในมือหลายสิบปีแกยังผลักให้เป็นหนังไม่ได้ ถึงขนาดเอ่ยปากว่ามันคือนิยายที่ “ไม่อาจถ่ายออกมาเป็นหนัง” เลยล่ะ แต่วีทลีย์บอกผมทำได้ครับป๋า แล้วแกก็ทำได้แบบบรรเจิด พลังทะลักล้นมากๆ
ข้อดีสุดๆของหนังขอยกให้ กำกับภาพ กำกับศิลป์ โหทั้งเซ็ตแบบยุค 70 ผสมปัจจุบัน ที่ต้องการทำให้เรื่องราวไร้กาลเวลา ทั้งคอสตูมเมคอัพที่มีตั้งแต่งานปาร์ตี้ชนชั้นสูงดูประหลาดๆจนถึงดิบๆแบบคนลุยกันเลือดโชก คือเชื่อ! และที่สำคัญสวยงามทุกเม็ดมากๆ คือใครชอบดูศิลป์ๆ อาร์ทๆ ดูแค่ภาพแค่องค์ประกอบโคตรคุ้มละ
ข้อดีสุดๆ อันดับรองสำหรับผม ที่อาจเป็นข้อดีสุดๆของคนอื่นคือ ตัวละคร ที่ออกแบบมาแทนมนุษย์ในสังคมได้หลากหลายและน่าสนใจมากๆ ทุกตัวมีคาแรกเตอร์มีฉากหลังมีปมที่น่าสนใจทั้งนั้น ขนาดว่ามันเยอะจนจำชื่อไม่ได้ครบแต่เราจำเรื่องราวของทุกตัวได้ชัดแน่นอน ไม่ว่าจะ พ่อนักถ่ายสารคดีที่ไม่ใยดีครอบครัวแต่เป็นนักเรียกร้องสิทธิชนชั้นหัวรุนแรง สถาปนิกเจ้าของตึกที่พยายามเข้าถึงคนชั้นกลางแต่ก็ไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวหรือเข้าใจอย่างถ่องแท้อะไรกับคนใต้ปกครองสักนิด ส่วนพระเอกก็น่าสนใจมากเช่นกันในฐานะแทนสายตาคนดูเข้าไปในเนื้อเรื่อง แต่พี่แกก็มีความแปลกแยกกับคนอื่นอย่างชัดเจน
และอีกหนึ่งที่ให้ดีสุดเท่าๆกันคือ ดารา ที่มาแสดงนี่เรียกว่าจัดเต็มไม่แพ้กัน แล้วที่สำคัญรับบทตีบทกันกระจุยกระจาย คือต้องคารวะล่ะเพราะเรื่องมันนำเสนอตัวละครที่แปลกประหลาดบ้าบอมาก แต่นักแสดงก็เล่นได้แบบเชื่ออ่ะ เล่นดีไม่มีหลุดกันเลย และสำหรับสาวๆ บางคนนี่คงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่พ่อโลกิจะมาโชว์ความเซ็กซี่แบบไม่อั้นตั้งแต่ระเบียงยันเตียงนอน เออลืมบอกไปหนังเพียบพรึ่บพั่บด้วยฉากเซ็กและความรุนแรง คนมีอะไรกันเรียกว่าแทบจะทุกที่ ส่วนฉากแหวะๆก็มีแบบผ่าเปิดสมองคน ซึ่งไม่คิดไม่ทันตั้งตัว เจอเต็มๆจอก็อึ้งๆไปเหมือนกัน 555 คือเขาก็ไม่คิดว่าเด็กจะดูเนื้อหายากๆอยู่แล้วน่ะนะ หนังเลยจัดเรตหนักมาแบบไม่แคร์กันเลย
ข้อดีสุดท้าย ซึ่งไม่รู้เป็นข้อดีไหมนะ 555 คือ เนื้อหา ปรัชญาโคตร เปรียบเปรยสัญลักษณ์บาน เศรษฐศาสตร์-การเมืองอัดเต็ม คือใครชอบดูไปคิดไป ขบให้แตก เข้าใจสัญลักษณ์ตรงนั้นตรงนี้แล้วพุทธิปัญญาเกิดอิ่มเอมไปสามวันแปดวัน นี่คือของชั้นเยี่ยมให้ท่านนั่งกรอดูซ้ำไปซ้ำมาเอาไปวิเคราะห์ ได้ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา คือหนังเพียงพอกับการวิจารณ์หนังแบบเจาะลึกเป็นเล่มๆเลยล่ะ ตรงนี้พูดตรงๆว่าขอบาย คือถ้าให้ดูอีกสักสองสามรอบน่าจะเขียนได้ แต่การดูแค่รอบเดียวในโรงผมว่าไม่พอจริงๆ
สรุป
- หนังเหมาะกับคนชอบดูหนังขั้นฮาร์ดคอร์ ลงเรียนวิชาวิจารณ์ภาพยนตร์ สนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์การเมือง จิตวิทยาสังคม อะไรพวกนี้คุณต้องดูเลย
- คนชอบงานสวยๆ อาร์ทๆ แบบพอเข้าใจเรื่องได้ไม่ถึงขั้นติสต์ตายไปเลยแบบพี่เจ้ยอันนี้ควรดู
- คนดูทั่วไปพอดูได้แต่คงเก็บรายละเอียดมหาศาลนั้นไม่หมดแค่ชื่อตัวละครผมยังจำไม่หมดเลย 555 ถ้าดูต้องตรียมใจแบบปล่อยผ่านบ้างแล้วจะดูรู้เรื่องสนุกไปกับแนวคิดมันได้อยู่ หนังจบไม่งงนะ ผมทิ้งคำบรรยายท้ายเรื่องไว้ให้ช่วยในการดูละกัน มันเป็นคีย์สำคัญมากๆที่จะเข้าใจหนังล่ะนะแต่พี่แกเอามาใส่ท้ายเรื่องก็นะ ช้าไปมั้ย!
“โลกนี้ไม่มีระบบที่เรียกว่าเสรีนิยม ที่มีจริงๆคือทุนนิยม และไอ้ทุนนิยมนี่มีด้วยกันสองแบบคือ ทุนนิยมโดยรัฐ และไม่ใช่โดยรัฐ ซึ่งไอ้ทุนนิยมโดยรัฐนั้น มันไม่อาจนำพามาซึ่งโลกที่มีความเสรีที่แท้จริง”
แต่ถ้าใครชอบโลกิอยากดูพี่ทอมเปลือยๆเซ็กซี่ๆ ถ้าแค่นั้นจริงๆ ผมแปะรูปไว้ให้ด้านล่างนี่เลยละกันจะได้สมใจทันที 555