ทุกวันนี้ หากพูดถึงภาพยนตร์แอ็กชันสุดมัน ที่ทำรายได้ถล่มทลายในทุกภาค จะต้องมีชื่อของหนังตระกูล Fast and Furious โผล่เข้ามาเป็นตัวเลือกในใจของหลายคนแน่นอน
ณ ตอนนี้แฟรนไชส์ ‘เร็ว..แรงทะลุนรก’ ก็กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้ว และคงเป็นเส้นชัยที่คนทั่วโลกต่างรอคอยถึงบทสรุปของพวกเขา หากมองย้อนกลับไปในภาคแรก เราคงนึกไม่ออกแน่ ๆ ว่าหนังซิ่งรถ-โจรกรรมธรรมดานั้น ได้พาตัวเองเหยียบมิดไมล์จนประสบความสำเร็จถึง 9 ภาคได้อย่างไร
แต่ทว่า ทุกเบื้องหลังของชัยชนะย่อมเต็มไปด้วยน้ำตา ใครเล่าจะรู้ว่า Fast and Furious เกือบจะต้องปิดตำนานแฟรนไชส์ไปในภาคที่ 3
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2001 ‘The Fast and the Furious’ ภาคแรกทำรายได้อย่างงดงามกว่า 200 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก จากงบประมาณเพียง 38 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของวิน ดีเซล (Vin Diesel) และพอล วอล์คเกอร์ (Paul Walker) กลายเป็นที่รู้จักทันที
ในขณะที่แฟรนไชส์เตรียมจะต่อยอดในภาคที่ 2 ดีเซลเลือกที่จะปฏิเสธในการกลับมารับบท ‘โดมินิก ทอเร็ตโต’ ดังนั้นแล้วทางทีมงานจึงให้ไทรีส กิ๊บสัน (Tyrese Gibson) มาร่วมแสดงเป็นคู่หูกับวอล์คเกอร์ในภาคต่อ ‘2 Fast 2 Furious’ แทน
ต่อมาเมื่อมีการสร้างภาคที่ 3 ของแฟรนไชส์อย่าง The Fast & The Furious: Tokyo Drift กลายเป็นว่าไม่มีนักแสดงกลุ่มเดิมกลับมาเล่นเลย และหนังก็เปิดตัวมาด้วยนักแสดงกลุ่มใหม่อย่าง ลูคัส แบล็ก (Lucas Black) กับ ซอง คัง (Sung Kang) แทน นั่นทำให้แฟรนไชส์เริ่มเห็นรอยลงเหว เพราะส่วนใหญ่ภาพยนตร์ที่เปลี่ยนนักแสดงกลุ่มใหม่ มักจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีหรือไม่ก็จะแปรสภาพเป็นหนังเกรด B ส่งลงแผ่นไปเลย
ในรอบทดลองฉาย ผู้บริหารก็รู้ได้ทันทีว่าภาคนี้น่าจะไปไม่ไหวและอาจจะเป็นการปิดประตูแฟรนไชส์จริง ๆ พวกเขาจึงงัดไม้เด็ดสุดท้ายออกมา โดยการติดต่อให้วิน ดีเซลมาเป็นนักแสดงรับเชิญในช่วงท้ายของเรื่องของ Tokyo Drift
ในตอนแรกดีเซลก็ไม่ได้มีท่าทีที่อยากจะรับนัก เพราะตอนนั้น เขาอยากโฟกัสกับแฟรนไชส์ Riddick ที่กำลังปั้นขึ้นมาเช่นกัน แต่ในขณะนั้นเขาก็คิดได้ว่าในเมื่อเขาทุ่มเทให้ Riddick ขนาดนี้ เขาก็ควรได้สิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าของมัน ดังนั้นดีเซลจึงยื่นข้อเสนอว่าเขาจะไม่รับค่าตัวจากการรับเชิญนี้ แต่จะขอรับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ Riddick แทน ซึ่งผู้สร้างอย่าง Universal Pictures ก็บ้าจี้ตอบตกลงไปด้วย ในที่สุดการเจรจาครั้งนี้จึงกลายเป็นฉากในตำนานของตอนจบของภาค 3 ไปอย่างที่เราเห็น
เมื่อหนังภาคที่ 3 อย่าง The Fast & The Furious: Tokyo Drift ออกฉาย หนังกลับล้มเหลวในด้านรายได้ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ทว่าภาคนี้ก็ได้รับคำวิจารณ์แง่ดี ในการเป็นภาคที่มีหัวใจมากที่สุดภาคหนึ่งของแฟรนไชส์ แถมยังมีกระแสฮือฮาที่เห็นวิน ดีเซลในตอนท้ายเรื่องจากผู้ชมด้วย
ด้วยคำวิจารณ์ที่ดีและกระแสฮือฮานั้นก็ทำให้บริษัทผู้ผลิตอย่าง Universal Pictures รู้สึกพึงพอใจ พวกเขาจึงตัดสินใจลองเสี่ยงอีกครั้ง ให้ ‘จัสติน ลิน’ (Justin Lin) ผู้กำกับ Tokyo Drift รับหน้าที่เดินหน้าชุบชีวิตแฟรนไชส์ Fast and Furious ในภาคที่ 4 พร้อมขนทัพนักแสดงจากทั้ง 3 ภาคแรกกลับมาด้วย
และก็เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ Fast and Furious กลายเป็นแฟรนไชส์ที่ทำได้สูงในทุก ๆ ภาค สร้างฐานแฟนคลับไปทั่วโลก แถมยังมีภาคแยกตามมาอีกมากมาย จนดาราคนไหน ก็อยากโดดเข้ามาร่วมแจมกับ ‘ครอบครัว’ นี้
ต้องขอบคุณเบื้องหลังการเจรจาของ Universal Pictures และผู้กำกับจัสติน ลินที่ทำงานหนักเพื่อแฟรนไชส์นี้จนสุดทาง รวมถึงวิน ดีเซลที่ยอมรับข้อตกลงเพราะอยากสานต่อ Riddick ให้ไปได้ไกล
Tokyo Drift จึงเป็นเพียงจุดจบของจุดเริ่มต้นที่ก้าวไกล ซึ่งได้ส่งให้ Fast and Furious กลายเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และคนที่ดูจะดีอกดีใจที่สุดก็เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ดีเซล ที่ในตอนนี้เปรียบเสมือนแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแฟรนไชส์ไปเป็นเรียบร้อยแล้ว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส