“คณิตศาสตร์ไม่เพียงแต่โอบอุ้มความจริงเท่านั้น หากแต่มันยังสะท้อนความงดงามอีกด้วย” – Bertrand Russell
ขึ้นเรื่องมาด้วยคำพูดของนักคณิตศาสตร์คนสำคัญของอังกฤษอย่าง เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ ก็พาน่ากลัวซะแล้วสำหรับหนังอิงประวัตินักคณิตศาสตร์ชาวอินเดียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในโลก อย่าง ศรีนิวาสะ รามานุจัน (แต่คนทั่วไปอย่างผมไม่รู้จัก 555 เชื่อว่าใครเรียนสายวิทย์ในระดับมหาวิทยาลัยน่าจะผ่านตามาบ้าง) ซึ่งผมเองก็เตรียมใจไว้นิดๆ ว่าอาจจะไม่สนุกนักก็ได้หากพูดเรื่องยากๆเยอะๆ แต่ฝีมืออีตาผู้กำกับที่ไม่เคยรู้จักแต่จะขอจำชื่อเอาไว้อย่าง Matt Brown ที่เขียนบทจากหนังสือชื่อเดียวกันกับหนังของ Robert Kanigel ด้วย ก็ทำออกมาได้ละมุนสมใจคอสายดราม่าอิงเรื่องจริงทีเดียว
เกริ่นว่าคนทั่วๆ ไปคงไม่รู้จักรามานุจัน แต่ถ้าคุณคุ้นๆ นิดๆ โดยไม่ได้ฟังได้ยินจากห้องเรียน คุณอาจเห็นผ่านตาจากชั้นขายหนังสือที่มีฉบับแปลไทยประวัติของเขาออกมาขาย แต่ถ้าไม่ใช่ คุณน่าจะเคยฟังชื่อเขาผ่านๆ มามาจากหนังเรื่อง Good Will Hunting ตอนที่ตัวละครของโรบิน วิลเลี่ยมโดนจูงใจให้สอนนายวิล ฮันติ้ง โดยยกตัวอย่างเรื่องราวของรามานุจันขึ้นมาก็ได้ ซึ่งบอกเลยว่าชีวิตของนายรามานุจันคนนี้โคตรโรแมนติกมากๆ
ใครชินกับคำว่าโรแมนติก ว่าเป็นแค่เรื่องรักๆ ของชายหญิง ขอให้เข้าใจเสียใหม่ จริงๆ คำนี้มันกินความหมายมากกว่านั้น ประมาณซาบซึ้งอัศจรรย์ชวนฝัน ซึ่งใครดูเรื่องนี้จะเข้าใจความหมายนี้มากๆ เพราะหนังไม่ได้พูดแค่เรื่องชีวิตรักของรามานุจันเท่านั้น แต่ยังว่าด้วยการต่อสู้ในโลกที่แตกต่าง มูลค่าของสิ่งที่ต้องสูญเสียเพื่อได้รับการยอมรับ การค้นพบที่ยิ่งใหญ่สุดครั้งหนึ่งของโลก และส่วนสุดท้ายที่ว่าด้วยมิตรภาพของคนต่างดินแดนที่ไม่มีอะไรเข้ากันเลย
หนังเล่าเรื่องโดยดัดแปลงชีวิตของ รามานุจัน ชายหนุ่มไร้ปริญญาแสนยากจนในเมืองห่างไกลความเจริญของอินเดีย เขาหมกมุ่นและสนใจในเรื่องตัวเลขอย่างหนัก จนวันหนึ่งเมื่อถูกค้นพบความสามารถเขาจึงได้รับการแนะนำให้เขียนจดหมายไปถึงเหล่านักคณิตศาสตร์ชื่อดังแห่งเคมบริดจ์เพื่อขอตีพิมพ์สูตรคณิตศาสตร์ต่างๆ ที่เขาค้นพบ แน่นอนจดหมายส่วนใหญ่ถูกโยนทิ้งเพราะหลายคนคิดว่าเป็นการล้อเล่นของคนบ้า แต่ไม่ใช่สำหรับศาสตราจารย์อย่าง Godfrey Hardy ที่รู้สึกสนใจในสูตรที่เขียนมาอย่างมากจึงได้เชิญตัวรามานุจันมายังอังกฤษ
เริ่มต้นเรื่องเหมือนจะเป็น ไลฟ์ออฟรามานุจัน (ชีวิตอัศจรรย์ของรามานุจัน) ซึ่งเรื่องราวของเขาก็เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและความน่าชื่นชมจริงๆล่ะ แต่ขอบอกว่านั่นเพียงก้าวแรกจริงๆ เพราะอุปสรรคที่เขาต้องผ่านนั้นหนักหนาเอาเรื่องเลยทีเดียว ทั้งวัฒนธรรม ศาสนา การกินมังสวิรัติที่ยากยิ่ง ชีวิตที่ต้องอยู่ต่างแดนคนเดียว สถานการณ์โลกที่กำลังเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่1 และการโดนมองเหยียดเชื้อชาติและฐานะ คือเราคงเคยได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้จากหนังหรือนิยายมาก่อนแล้ว แต่นี่คือตัวออริจินอลเลย ตัวจริงเรื่องจริงของแรงบันดาลใจให้เรื่องแต่งสุดซาบซึ้งอย่าง กู้ดวิลฮันติ้ง คือพลังจากการอิงเรื่องจริงนี่ ทำให้หนังเรื่องนี้โคตรทรงพลังมากๆ ระหว่างดูผมนี่น้ำตาคลอเลย (เพื่อยืนยันว่าไม่ได้คิดไปเอง ผมได้ยินเสียงสะอื้น และเสียงขำของคนในโรงตามอารมณ์หนังด้วย)
ความดีงามของหนังขอยกให้บทและการเลือกทิศทางหนังของผู้กำกับเลย คือบททั้งคมคาย ไม่มีส่วนไหนเกินไป แล้วก็มีหยอดมุกให้ขำเป็นระยะแบบฉลาดๆ คือต่อให้อ่านประวัติของรามานุจันมาก่อนแล้วอย่างผม คือรู้ตอนจบอยู่แล้วมันก็ยังสนุกยังอินน่ะ
การแสดงของ Dev Patel (จาก Slumdog Millionaire) ในบทรามานุจัน กับ Jeremy Irons ในบท ศจ. ฮาร์ดี้ ก็เข้ากันมากๆ เราเห็นความขัดแย้งที่ดราม่าแต่เปี่ยมมิตรภาพจากสองคนนี้จริงๆ รามานุจันเป็นหนุ่มบ้านๆ ยากจนและมีพระเจ้าฮินดูเป็นที่พึ่ง ในขณะที่ฮาร์ดี้เป็นคนเข้มงวด เนี๊ยบ ไม่ค่อยเข้าสังคม และที่สำคัญไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง รามานุจันถึงกับตราหน้าเขาครั้งหนึ่งเลยว่าเขาไม่มีความเข้าใจเพื่อนมนุษย์ และไม่เข้าใจว่าเขาต้องสูญเสียอะไรไปบ้างเพื่อมาที่อังกฤษนี้ ในขณะที่แม้จะทะเลาะกันอยู่ ฮาร์ดี้ก็เป็นกำลังหนุนเดียวที่อยู่ข้างรามานุจันเสมอในวันที่โลกทอดทิ้งเขา สมชื่อภาษาไทย อัจฉริยะโลกไม่รัก มากๆ ซึ่งดูจบก็เข้าใจเลยว่าโลกโหดร้ายกับพี่แกมากจริงๆ
ส่วนนักแสดงประกอบก็ส่งพลังให้หนังได้โคตรพีค (คือไม่ได้เล่นใหญ่นะแต่แบบสื่ออารมณ์จนเราเข้าใจภาวะการณ์ตัวละครมากๆ) อย่าง แม่ ที่รักลูกจนเกินเหตุจนทำชีวิตลูกเกือบพัง แต่เราก็เห็นความรักของแม่มากๆ จนเห็นใจล่ะนะ ตัว นางเอก ที่คอยส่งพลังรักทางไกล-แม่ผัวไม่เข้าใจ ได้แบบดีงามเราสงสารเธอที่เป็นผู้เสียสละตัวจริงให้คนรักได้ไปทำความฝันมากๆ อย่างที่ว่าความสำเร็จของชายผู้ยิ่งใหญ่ต้องมีผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่กว่าคอยสนับสนุนนี่จริงเลย แล้วทางฝั่งเคมบริดจ์ก็เยี่ยมๆ ทั้งนั้นทั้ง อ.ลิตเติ้ลวู้ด คู่หูของฮาร์ดี้ที่คอยมาทำให้คนดูยิ้มได้ตลอด ในขณะที่ฝั่งตัวร้ายอย่างบรรดาอ.คนอื่นก็น่าหมั่นไส้ได้ใจจริงๆ
สรุป
หนังเรื่องนี้อาจไม่ค่อยถูกโปรโมตนักเพราะเป็นเรื่องของนักคณิตศาสตร์ที่ไม่ดังมากๆอย่าง สตีเฟน ฮอว์คิง (The Theory of Everything) หรืออยู่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจอย่าง อลัน ทัวริ่ง (The Imitation Game) มีความซับซ้อนที่น่าสนใจอย่าง จอห์น แนช (A Beautiful Mind) มีเรื่องที่เคยทำได้ดีอยู่แล้วอย่าง Good Will Hunting หรือเรื่องอื่นๆที่แนวเดียวกันเล่ากันมาหลายรอบแล้ว และที่สำคัญเลยเพราะนี่เป็นหนังที่ทีมสร้างเป็นฝั่งอังกฤษ ไม่ใช่ฮอลลีวู้ด แต่ผมบอกเลยว่าน่าเสียดายมากที่จะเอาปัจจัยพวกนี้มาปิดโอกาสการดูหนังเรื่องนี้
ใครสายดราม่า เพิ่มพูนกำลังใจ เพิ่มไฟในชีวิต ชอบหนังแนวนี้ ไม่ต้องรู้เรื่องคณิตศาสตร์ก็ได้เพราะเขาเลือกมาเล่าได้แบบเราอินมากๆ แบบไม่ต้องไปสนใจเลยว่าสูตรพวกนั้นคืออะไร หนังดูง่ายมากฉลาดมาก ใครชอบหนังที่ละเมียดงดงามเปี่ยมอารมณ์และความฉลาดทั้งบทพูดทั้งการแสดง ขอเชิญเลยเรื่องนี้พี่เชียร์จริง!