Amazon เคยประกาศว่าสนใจจะเข้าซื้อ MGM มาตั้งแต่พฤษภาคม 2021 แล้ว ในตอนนั้น Amazon เผยว่าทาง MGM ได้ยื่นข้อเสนอให้ Amazon ได้นำหนังทั้งหมดของ MGM ไปปล่อยผ่านสตรีมมิง แล้วเก็บค่ารับชมจากสมาชิกในสหรัฐฯ ในอัตราเดือนละ 14.99 เหรียญ แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า จนเวลาผ่านมาเกือบ 1 ปี จนใกล้จะถึงเส้นตายที่กำหนดไว้โดย คณะกรรมการการค้าของสหรัฐฯ ( U.S. Federal Trade Commission) ว่าต้องจบดีลนี้ให้ได้ก่อน 1 ปี ทำให้ Amazon จึงต้องรีบเร่งเคลียร์ปัญหาต่าง ๆ นานาในการเข้าซื้อครั้งนี้ให้ลุล่วงไปในที่สุด
และในที่สุด คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ก็เห็นชอบอนุมัติในการเข้าซื้อครั้งนี้เมื่อวันอังคารที่ 15 มีนาคมนี้ โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ และทาง Amazon ก็ได้ให้คำยืนยันกับทาง คณะกรรมการการค้าของสหรัฐฯ ว่ายินดีจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของการซื้อขายอย่างเคร่งครัด
amazon.com ออกแถลงอย่างเป็นทางการเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม ว่าได้ทำการเข้าซื้อสตูดิโอ MGM เรียบร้อยแล้ว ด้วยมูลค่า 8,500 ล้านเหรียญ ในการครอบครองนี้เท่ากับ Amazon จะได้เป็นเจ้าของแฟรนไชส์หนังระดับตำนานอย่าง ‘Rocky’ และ ‘James Bond’ อีกด้วย เหล่านี้ถือว่าห้องสมุดหนังของ MGM คือขุมทรัพย์ที่มีค่าอย่างมากต่อ Amazon ที่จัดว่าเป็นหนึ่งในสตรีมมิงยักษ์ใหญ่ของวงการ และจะทำให้ Amazon มีจุดขายที่แข็งมาใช้ดึงจำนวนสมาชิกได้อีกมหาศาล เพราะหลังจากนี้สมาชิกของ Amazon Prime จะได้รับชมหนังในคลังของ MGM ที่มีจำนวนมากกว่า 4,000 เรื่อง รวมไปถึงหนังใหม่อย่าง “Licorice Pizza” ที่ได้เข้าชิงออสการ์ปีล่าสุดนี้ด้วย นี่ยังไม่รวมภาพยนตร์ที่สร้างสำหรับฉายทางทีวีอีกมากมาย หลังจากนี้ไป Amazon จะกลายเป็นคู่แข่งรายสำคัญต่อ Netflix และ Disney+ ทำให้สงครามสตรีมมิงร้อนระอุยิ่งขึ้น
ในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจาก Amazon นั้น ข้อความตอนหนึ่งจากผู้บริหาร Amazon ได้กล่าวยินดีต้อนรับพนักงานทั้งหมดของ MGM และรู้สึกยินดีที่จะได้ร่วมงานกับหนึ่งในสตูดิโอชั้นนำของฮอลลีวูดอย่าง MGM จะไม่มีการเลย์ออฟพนักงานจาก MGM อย่างแน่นอน พนักงานจาก MGM ทั้งหมด จะอยู่ภายใต้การบริหารของ ไมค์ ฮอปกินส์ (Mike Hopkins) รองประธานของ Prime Video และ Amazon Studios
“เรายินดีต้อนรับพนักงานทั้งหมดจาก MGM เข้าสู่ Prime Video และ Amazon Studios จากนี้ไป เราจะได้ร่วมงานกันและมองไปข้างหน้าร่วมกัน”
ข้อความตอนหนึ่งจากแถลงการณ์ต้อนรับของ ไมค์ ฮอปกินส์