เป็นหนังญี่ปุ่นที่ผมรอดูมากสุดเรื่องหนึ่งเลยกับ If Cats Disappeared From the World หรือชื่อไทย ถ้าแมวตัวนั้นหายไปจากโลกนี้ คือแบบว่าตัวอย่างหนังนี่ได้อารมณ์มากๆโปรดักชั่นดูดีไม่เบา นักแสดงก็ไม่ได้แบบจับมาส่งๆ ทั้งพล็อตที่แบบเจ๋งมากๆซึ่งสร้างจากนิยายยอดนิยม และหนังแนวนี้ของญี่ปุ่นมักจะดีโคตรๆด้วย และสุดท้ายเครดิตคนเขียนบทจากหนังที่ผมชอบเอามากๆเรื่องหนึ่งอย่าง Be With You (2004)ด้วย แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หนังเรื่องหนึ่งดึงดูดผมเข้าไปดูแต่แรกๆถ้ามีโอกาส แล้วก็โชคดีสำหรับบ้านเรามากๆที่ไม่ต้องรอคอยกันนาน ได้ดูต่อจากญี่ปุ่นแบบห่างกันไม่ถึงเดือนแบบนี้ด้วยแล้ว โคตรอยากดูเลยขอบอก
ตรงนี้ก็ขออนุญาตรีวิวแบบไม่สปอยล์ โดยจะพูดเท่าที่ตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมาเท่านั้น และแบบสปอยล์นิดหน่อยไม่กระทบไคลแมกซ์ของหนังแล้วกันนะครับ เพราะจะเล่าความดีงามของหนังโดยไม่เล่าเนื้อในเลยสักนิดนี่ก็ยากอยู่
แบบไม่สปอยล์
หนังดัดแปลงจากนิยายชื่อ 世界から猫が消えたなら, Sekai kara neko ga kietanara ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว เป็นผลงานการเขียนของ เกนคิ คาวามูระ โปรดิวเซอร์หนังดาวรุ่งมากความสร้างสรรค์ที่ผ่านงานอย่าง Kokuhaku (Confessions) (2010) และ Attack On Titan (2015) มาแล้ว โดยเล่าถึงบุรุษไปรษณีย์คนหนึ่ง ที่มักตัวติดอยู่กับเจ้าแมวที่ชื่อ “แคบเบจ (กะหล่ำ)” ตลอดเวลา แต่โชคร้ายวันหนึ่งเขาพบว่ากำลังจะตายในวันรุ่งขึ้นด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษา ทางรอดเดียวของเขาคือการรับข้อเสนอของปีศาจ ที่ว่า “เขาจะมีชีวิตต่อไปได้อีกครั้งละ 1 วัน แลกกับการให้ของ 1 ชิ้นบนโลกนี้หายไป” เขาจะยอมแลกทุกอย่างได้หรือไม่ แล้วกับของชิ้นสำคัญของเขาล่ะ….
หนังได้มือเขียนบทที่ผมถือว่าดัดแปลงนิยายมาเป็นบทหนังได้เก่งคนหนึ่ง นั่นคือ โยชิคาสึ โอคาดะ คนที่เขียนบทให้ Be With You หนังรักหวานอบอุ่นในใจใครหลายๆคนที่ทำให้ตุ๊กตาไล่ฝนกลายเป็นภาพจำของหนังไปเลย เช่นเดียวกันกับเรื่องนี้ แมว กลายมาเป็นของสำคัญที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่ลึกซึ้งมากๆอย่างเรื่องว่า อะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิตคนเรา? ให้ออกมาน่ารักและซาบซึ้งทีเดียวล่ะ
หนังยังมีจุดดีคือในการเล่าเรื่องที่ค่อยๆเปิดเผยสายสัมพันธ์ หรือแง่มุมบางอย่างที่ทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์ได้รอบด้าน จากแต่ละมุมมองของตัวละคร ซึ่งพอมันประกอบกันครบ มันคือการเค้นน้ำตาที่โอเคสำหรับผมเลยล่ะ มันฉลาดและมันซาบซึ้ง ทั้งยังมีมุกให้อมยิ้มเป็นระยะๆด้วย เหมือนตอนที่รู้สึกกับ Be With You แต่คงไม่ถึงเรื่องนั้นที่การเผยความลับในช่วงท้ายเป็นตัวสร้างไคลแม็กซ์ หนังเรื่องนี้ต่างไปตรงมันไม่ได้ช็อกเราแบบนั้น มันเหมือนหมัดแย๊บที่ทะยอยปล่อยมาเก็บแต้มมากกว่า มันไม่ได้พูดแค่ในเรื่องความรักของหญิงสาว มันยังพูดถึงมิตรภาพระหว่างเพื่อน และความผูกพันของคนในครอบครัวด้วย คือคิดดีๆมันพูดเรื่องความสัมพันธ์ในทุกระดับที่เราต้องเจอในชีวิตเลยล่ะ และเมื่อหนังชกครบทุกยกที่มันนำเสนอเราจะรู้สึกถึงสาระสำคัญของหนัง ว่าชีวิตมันสวยงามขนาดไหน
ตรงนี้ก็เป็นทั้งจุดดีและจุดด้อยเหมือนกัน เพราะในทางหนึ่งผมรู้สึกว่าความซับซ้อนของมันทำให้หยุดฉุกคิดถึงเรื่องอะไรเกิดก่อนอะไรเกิดหลังอะไรเกิดจริงอะไรไม่เกิดบ้าง ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำคัญอะไรในหนังหรอก แต่เชื่อว่าคงมีบางคนหลุดไปเพราะมัวครุ่นคิดจับผิดแบบนี้เหมือนกัน ตรงนี้ก็อยากบอกว่าเหมือนที่ตัวละครในหนังมักยืมคำพูดของ บรู๊ซ ลี จาก Enter The Dragon มาพูดบ่อยๆว่า หยุดคิด แล้วจงใช้ความรู้สึกซะ แล้วคุณจะพบว่าหนังมีอะไรให้สนใจมากกว่านั้น
หนังยังได้ทีมนักแสดงที่ผมว่าเล่นได้ดีมากๆ คือไม่ได้เล่นใหญ่เล่นเยอะอะไรหรอกแต่ทำให้เชื่อจริงๆว่าคือคนที่เจอตามท้องถนนได้ ทั้งตัวหลักอย่างพระเอก ทาเครุ ซาโต้ ที่ดังมากๆ หลายคนคงคุ้นเขาจากบทบาท เคนชิน ในหนังที่ดัดแปลงจากมังงะเรื่อง ซามูไรพเนจร (2012) หรือจะเป็นนางเอกอย่าง อาโออิ มิยาซากิ ที่เคยเล่นเป็น นานะ คนหวานในหนังที่ดัดแปลงจากมังงะเรื่อง นานะ (2005) รวมถึงนักแสดงสมทบที่ดีมากๆอย่างดาราหน้าเป็น กาคุ ฮามาดะ ในบทเพื่อนพระเอก เมโกะ ฮาราดะ ดาราสุดเก๋าที่มีผ่านงานอย่าง Ran (1985) ของ ปรมาจารย์อากิระ คุโรซาวะ มาแล้วในบทแม่พระเอก ร่วมกับดาราผู้กำกับรุ่นเดียวกันอย่าง ไอจิ โอคุดะ ในบทพ่อพระเอก และ อิเตะ โอคุโนะ ในบทสมทบชายพเนจร และที่ขาดไม่ได้ก็คงเป็นเจ้า PUMP แมวคุณลุงวัย 13 ปี (เทียบอายุคนก็ 70 ปี ต้องคุณตาสิ 555) ที่พระเอกของเราบอกว่าแสดงได้เก่งสุดในหนัง คือจริงๆมันบอกยากล่ะนะว่ามันแสดงเก่งมั้ย แต่มันน่ารักล่ะทำให้เราทาสแมวรู้สึกสบายใจที่มีมันบนจอในช่วงเวลาร้ายๆ ซึ่งคงเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ตัวเอกรู้สึกในวันที่รู้ว่าจะตายล่ะนะ
คือปกติไม่ค่อยไล่รายชื่อนักแสดงแบบนี้นะ แต่แบบชอบการแสดงของทีมนี้จริงๆ โดยเฉพาะอิเตะ โอคุโนะ ที่ถึงจะโผล่มามีบทบาทแค่ช่วงสั้นๆแต่ก็รู้สึกว่าเขาจริงและมีของมากๆ ดาราสมทบยังขนาดนี้ ดาราหลักไม่ต้องพูดถึงเล่นกันแบบน่าจดจำมากๆ ชอบตรงรู้สึกว่าพวกเขาจริงหมดเลย ผมเชื่อในตัวละครพวกนี้จริงๆ
โปรดักชั่นเองก็ดีมากๆนะ คือหนังญี่ปุ่นแบบที่พิถีพิถันมากๆแบบนี้เราจะดูออก ภาพแสงมันต่างจากหนังที่ตีหัวเข้าบ้านแบบป๊อปๆอยู่ คือแสงญี่ปุ่นเนี่ยสวย จัดแสงดีๆภาพมันจะงามมาก แต่นั่นล่ะมันต้องหนังที่มีคุณค่าในระดับหนึ่งด้วยถึงจะได้ฟีลแบบนี้ คือเราดูตัวอย่างเราจะเห็นความต่างเลยล่ะระหว่างหนังดีๆแบบนี้ กับหนังที่ทำเอาเงินทั่วๆไป อันนี้ชมไปถึงผู้กำกับที่ผลงานหนังไม่มากเรื่องแต่คุมงานได้เยี่ยมอย่าง อากิระ นากาอิ ว่าทำได้ดี ถึงจะไม่ได้สวยงามแบบตะลึง แต่ผมพบว่ามันสวยงามพอดีกับอารมณ์ของหนังมากๆเลยนะ หม่นๆ อุ่นๆ
ที่ต้องพูดถึงอีกอย่างที่เด่นมาตั้งแต่ตัวอย่างหนังละ คือเพลงประกอบ มันดีมากครับ ยิ่งดูหนังจบอยากบอกว่าอย่ารีบลุก นั่งฟังนั่งอ่านคำแปลเพลงตอนท้าย มันอิ่มมาก ได้รู้ว่าเป็นผลงานชื่อ Hizumi (ひずみ) ของนักร้องวัย 17 ปีมากฝีมือชื่อ HARUHI ด้วย นี่ต้องไปหายูทูบฟังต่อระหว่างเขียนรีวิวนี่เลย ชอบมากกก
สรุป ความรู้สึกหลังดู ก็คงบอกได้ว่า นี่เป็นหนังที่ไม่ได้จับกลุ่มทาสแมวอะไรอย่างที่เข้าใจไปตอนแรก แต่มันจับคนในแง่ความเป็นมนุษย์ทั่วๆไปที่เราจับต้องได้ โดยเฉพาะตัวเราเอง ที่ดูไปก็คงตั้งคำถามไปพร้อมตัวเอกว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตเราที่ยิ่งไปกว่าแค่การมีชีวิต และถึงวอลเลย์บอลโอลิมปิกจะทำให้บางคนพาลไม่ค่อยชอบอะไรๆที่มาจากญี่ปุ่นนัก แต่ผมอยากจะบอกว่าการพลาดหนังเรื่องนี้คุณอาจจะพลาดโอกาสเติมเต็มความโรแมนติกในการเป็นมนุษย์ไปเลยก็ได้นะ เสียดายครับหนังเข้าไม่กี่โรง แต่ไงก็เชียร์คนที่ชอบแนวนี้ต้องหาโอกาสไปดูนะครับ
แบบสปอยล์ เล่าเนื้อหาบ้าง แต่ไม่เล่าจุดไคลแม็กซ์นะครับ
หนังมันมีหลักๆน่าจะ 4 พาร์ทเลยล่ะ ตามของที่ต้องสูญเสียไปแต่ละครั้ง คือมันมีความเป็นหนังหลายเรื่องที่อยู่ในหนังเรื่องนี้นะ ถึงภาพรวมมันจะพูดเรื่องการแลกของสำคัญของพระเอกกับปีศาจเพื่อต่อชีวิต แต่สิ่งของแต่ละอย่างที่พระเอกต้องเสียไปมันผูกความหมายกับสิ่งอื่นที่เหนือกว่ามากๆ โดยปีศาจจะให้โอกาส 1 วันในการใช้ชีวิตกับสิ่งนั้นก่อนโดนลบไป ตรงนี้เป็นโอกาสที่หนังจะพาพระเอกไปค้นพบความหมายของสิ่งของนั้นครับ อย่างในตัวอย่างเราจะเห็นว่าพระเอกเสียโทรศัพท์ไปเป็นอย่างแรก ซึ่งจะมีฉากนางเอกพูดกับพระเอกว่า “ฉันไม่อยากให้โทรศัพท์หายไปจากโลกนี้หรอกนะ เพราะหากเป็นอย่างนั้นเราคงจะไม่ได้เจอกัน” โทรศัพท์ที่พระเอกเสียไปจึงไม่ใช่เพียงตัวเครื่องเท่านั้น แต่หมายถึงความสัมพันธ์กับนางเอกด้วย ตรงนี้ก็มีมุมแบบคนรักเก่ามาเจอกันอยู่นะ แต่เอาจริงๆ ผมอินกับพาร์ทต่อไปมากกว่าซึ่งคิดว่าคนเขียนบททำได้ดีมาก
พาร์ทที่สองนี้เล่าเรื่องเพื่อนครับ แต่ที่ผมอินไม่ได้เพราะมิตรภาพอะไรแบบนั้นหรอก แต่มันพูดอะไรที่ใหญ่ทับซ้อนกว่านั้นด้วย เพราะปีศาจเลือกที่จะลบ หนังหรือภาพยนตร์ ให้หายไปจากโลกนี้ ตรงนี้ผมนึกถึงหนังอย่าง Cinema Paradiso (1988) ช่วงนี้ของหนังมันมีมุกที่เอามาจากหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย หลายเรื่องเรารู้จักดี หลายเรื่องเราเคยได้ยิน บางเรื่องเราไม่รู้จัก แต่เชื่อเถอะว่าเราจะสัมผัสความรักในหนังของตัวละครและของคนสร้างได้อย่างดีเลย โดยเฉพาะเราเองที่ขณะดูหนังเรื่องนี้ก็เหมือนกำลังโดนแย่งของรักไปด้วย ว่าจะไม่มีหนังเรื่องนี้แล้วเหรอ คิดสมมติอะไรแบบนั้นก็เศร้านะ แต่ในแง่ของพระเอก หนังมันยังเป็นอะไรมากกว่านั้นด้วยเพราะมันคือเครื่องที่ทำให้พบใครสักคน ผูกพันกับใครสักคน พูดคุยถูกคอกันในเรื่องเดียวกัน และในวันสุดท้ายของชีวิตผมชอบที่พระเอกเขาคุยกันโดยยกคำพูดจาก The Legend of 1900 ของผู้กำกับคนเดียวกันกับซีเนม่าพาราดิโซ่ที่ว่า “ตราบใดที่มีเรื่องเล่าที่ดี และมีคนที่จะเล่ามัน มันจะยังดำเนินต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด” พาร์ทนี้เป็นพาร์ทที่ผมเสียน้ำตาให้ครั้งแรกครับ
พาร์ทที่สาม เล่าเรื่องของคนแปลกหน้าที่ชื่อ ทอม ครับ ครั้งนี้ปีศาจเลือกที่จะให้ นาฬิกา หายไป ตรงนี้หนังเล่าถึงครั้งที่พระเอกได้ไปเจอกับหนุ่มนักผจญภัยที่ต่างแดน ทอมมีความคิดว่า มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่ขังตัวเองไว้ในกรอบของชั่วโมงและนาที เขาทำตามแรงขับดันในตัว ออกไปใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ถึงที่สุดในสิ่งที่เขารักเขาชอบ ในขณะที่พระเอกได้แต่มองเขาอย่างไม่เข้าใจดีนัก และเมื่อวันหนึ่งเวลาได้หายไป เช่นเดียวกับเวลาชีวิตของเขาด้วย เขาก็ค้นพบว่าสิ่งสำคัญมันอาจไม่ใช่การมีเวลามากหรือน้อย แต่คือการได้ใช้ชีวิตอย่างที่พอใจแล้วหรือยังนั่นล่ะ พาร์ทนี้ผมว่าเป็นตัวพัฒนาเรื่องครับ ให้พระเอกคิดเรื่องการมีชีวิตมันสำคัญกว่าสิ่งที่เขาเสียไปไหม ผมว่าคม โชคไม่ดีหนังจงใจสื่อสารไม่แจ่มแจ้งมากครับ ต้องมานั่งคิดนิดหนึ่งถึงเข้าใจ
พาร์ทสุดท้าย ก็ตามคาดครับ ในที่สุดปีศาจก็เลือกที่จะให้ แมว หายไปครับ ตรงนี้บอกได้แค่ว่าเกี่ยวกับปมในใจพระเอกเกี่ยวกับครอบครัวครับ ไม่ขอเล่ารายละเอียดเลยแล้วกัน เพราะมันเป็นบทสรุปคำตอบของพระเอกแล้ว อยากให้ไปดูครับ พาร์ทนี้ผมเสียน้ำตาให้หนังเป็นครั้งที่สองครับ หลังจากจบพาร์ทนี้ ก็นั่งฟังเพลงอิ่มใจมากๆครับ
สรุป ผมว่าเป็นหนังที่ดีเลยล่ะครับ มันไม่ได้เจาะไปที่ความสัมพันธ์แบบใดแบบหนึ่ง แต่พูดถึงชีวิตทั้งชีวิตเลย ดูแล้วครุ่นคิด ดูแล้วรู้สึกกับมัน จบออกมาผมเชื่อว่าหลายๆคนจะใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายมากขึ้น อย่างน้อยก็รู้ว่าอะไรสำคัญกับตัวเอง แล้วเราจะมีชีวิตที่เราพอใจ อิ่มใจได้ครับ แบบไม่สนเลยว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้มีชีวิตต่อก็ไม่เสียใจอะไร