“..อยากเป็นนายตัวเอง ก็เป็นได้เลย…” พ่อค้าขายลูกชิ้นปิ้งที่มีสูตรอร่อยเฉพาะตัว   บอกไว้อย่างนั้น  ชั่วโมงนี้โลกเปิดหน้าต่างทิ้งไว้  ให้เห็นหน้าเห็นตากันตลอดเวลา  มีของดีอะไร  ถ้าคิดว่ามันเจ๋งจริง  ก็ประกาศบอกโลกตรงๆไปได้เลย   ถ้าไม่ดี  ไม่มีใครสน  อย่างน้อยก็จะได้รู้

.. ขายลูกชิ้น  ขายขนมเค้ก  ขายไอติม  มันไม่ต่างกับการทำงานเพลง “ขายเพลง” เลยครับ  ยุคสมัยนี้  ศิลปินหน้าใหม่ๆทุกคน  ก็เกิดมาจาก facebook หรือไม่ก็ youtube  สร้างชื่อเสียงและเงินทองติดอันดับโลกก็มากมาย  ได้ท่องไปในหลายๆประเทศ  ไปโชว์ตัวตามที่ต่างๆ  ด้วยเพียงเพลงสองเพลง  ที่แต่งเองร้องเอง  แล้วปล่อยลง youtube เท่านั้น  ..ไม่มีอะไรยากอีกต่อไปแล้ว ..

..แล้วอะไรล่ะครับ  ที่ว่ายาก ?

.. ใจเรานี่แหละครับ  ความต้องการในใจเรา  ตรงนี้ที่มันยาก  มันไม่ค่อยจะลงตัวพอดี  มันไม่แน่ไม่นอนว่าแท้จริงแล้ว  เราต้องการอะไร  สิ่งใดคือเป้าหมายที่แท้จริง  ต่างๆนาๆที่หมดเวลาไปกับการคิดหาคำตอบ  วนเวียนอยู่ก็ยิ่งทำให้แรงบันดาลใจดีดี  ที่มีพลัง  อ่อนตัวทอนหายไปกับสายลมเสียหมด  รักจะเป็น “ศิลปิน” ไม่จำเป็นต้องตั้งท่านาน   .. อะไรท่านานมาก  ช้ามาก  ประเดี๋ยวใครจะคิดได้ว่า  แท้จริงเราไม่มีของไปสู้กับใคร  หนักไปทางคิด พูด มากกว่าจะทำให้เห็นจริง

.. มีนิตยสารฟรีก๊อปปี้เล่มหนึ่ง  บังเอิญผมไปอ่านเจอขณะนำรถเข้าไปล้าง  เขาสรุปจากการวิเคราะห์ในทางจิตวิทยาว่า  ใครก็ตามที่ถ่ายคลิปตัวเองลง facebook หรือโชว์ใน youtube ส่วนลึกในใจส่วนใหญ่แทบจะ 100%  คืออยากให้คนรู้จักตัวเองมากขึ้น  .. อยากให้คนเข้ามาชื่นชม  ยินดี  มากด Like  มาติดตาม  และสิ่งที่เหมือนกันเกิน 80%  คนเหล่านั้น  อยากมีชื่อเสียงมากกว่าเดิม  และไม่ปฏิเสธวงการบันเทิง  หากมีแมวมองมาทาบทาม หรือชักชวน
10000307_823269944353342_1443851311_n
.. เขาวิเคราะห์กันแบบนั้นครับ  เสียดายที่ผมจดจำชื่อนิตยสารเล่มนั้นไม่ได้  แต่ผมนำกลับมาคิดต่อ  นึกไปนึกมา  ก็สรุปกับตัวเองได้ว่า  มันน่าจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง  เพราะโลกของ facebook และ youtube ไม่ใช่ “โลกส่วนตัว” อย่างที่เด็กๆหรือผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย  พยายามจะบอกสังคม  ทันทีที่คุณปล่อยอะไรลงไป  นั่นเพราะส่วนลึกของคุณ  อยากให้คนรับรู้  รู้สึกร่วม  เห็นคล้อยไปกับคุณทั้งสิ้น  ที่จะบอกว่า  แค่อยากปล่อยไปเฉยๆ  โดยไม่มีการติดตามดูฟีตแบ็ค  ไม่น่าจะมี  ส่วนนี้เขาก็วิเคราะห์กันเหมือนที่ผมคิด  คนส่วนใหญ่  อยากได้รับการ “ตอบสนอง” สิ่งที่คาดหวัง และไม่คาดหวังต่างหาก  ที่อาจแตกต่างกัน

.. เขาวิเคราะห์กันซีเรียสเลยครับ  มันก็สมควรอยู่หรอก  เพราะทุกวันนี้  พี่ youtube กับน้อง facebook กลายเป็นปัจจัยที่ 6 ไปแล้ว (ปัจจัยที่ 5 คือ เงิน / ความคิดเห็นส่วนตัว)  ใครมีปัจจัยที่ 1 – 5 แต่ไม่มีปัจจัยที่ 6  ..บางคนถึงขนาดบอกว่า โลกขาดความสมดุล , ขาดอาวุธในการทำมาหากิน , ขาดสังคม , ขาดเพื่อน , ขาดคู่คุย  และ ขาดตกบกพร่องในเรื่องข่าวสารข้อมูล  ที่ว่ากันว่า  รวดเร็วไม่แพ้แหล่งข่าวทางตรงอื่นๆในโลก กันเลยทีเดียว  .. ก็ว่ากันไปครับ

.. ในสังคมที่ผมอยู่  รายรอบไปด้วยคนทำงานเพลง  แต่งเพลง  ร้องเพลง  บันทึกเสียงเอง  แล้วก็นำมาปล่อยเองลงโซเชี่ยลมีเดีย  ให้คนได้เสพ  ได้รับชม และร่วมแสดงความคิดเห็น  เกินครึ่งที่ทำจริงจัง  ต่อเนื่อง  ทำเป็นเหมือนงานประจำ  ทำด้วยความสนุก  และก็มีที่ไปได้ไกล  ส่วนที่ไปต่อไม่ได้  ไม่ใช่เพราะไม่มีฝีมือ  แต่บางส่วนก็มีที่เมื่อถูกค่ายเพลง  หรือคนมาสนใจเชิญไปร่วมงานจริงๆแล้ว   การปฏิบัติตัว  บวกกับความรับผิดชอบ  มันจำเป็นต้องมีมากกว่าแค่การ “ถ่ายตัวเอง” แล้วก็ปล่อยลงคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์เท่านั้น  หลายๆคนก็ไม่สามารถจัดการตัวเองให้พร้อมจะเป็นมืออาชีพได้  ก็ต้องพลาดโอกาสดีดีไปอย่างน่าเสียดาย  ทำได้แค่เป็น “ของดีในโซเชี่ยลมีเดีย” เท่านั้น  แต่โลกชีวิตจริงๆ  กลับไม่มีตัวตน

.. ตีซี้ไว้เถอะครับ ทั้งพี่ youtube กับน้อง facebook  คบหาให้สนิทเข้าไว้  มีแต่ได้น้อย กับได้มาก  ขณะที่ปล่อยเพลงลงไป  เฝ้าติดตามผล  เช็คเรตติ้ง  ก็อย่าลืมเรียนรู้ การตลาดง่ายๆให้ทันโลก ทันพฤติกรรมของคนในสังคมออนไลน์ควบคู่ไปด้วย  เพราะถ้าวันหนึ่ง  ผลงานของคุณมันโผล่ขึ้นมาจากความเงียบ  คุณจะได้ออกอาวุธถูก  ว่าจะใช้ส่วนใดเป็นแผนสอง  บุกตะลุยให้ผลงานขึ้นสูงไปกว่าเก่า   ไอ้ที่จะรอลูกฟลุคอย่างเดียว  โดยออกหมัดไม่เป็น  มันจะนิยมได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว  ต้องหัดเป็น “นักจัดการตัวเอง” ให้เก่งด้วย

.. ถึงจะเรียกว่า ไม่เสียโอกาสไงล่ะครับ