The Script ไม่ทำให้ผิดหวัง! ขนเพลงฮิตกว่า 15 เพลง บรรเลงขับกล่อมแฟนเพลงชาวไทยตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง อีกทั้งยังสร้างความประทับใจผ่านโชว์ที่อบอวลไปด้วยความสนุก และเป็นกันเองอย่างมาก
นี่เป็นการกลับมาเยือนประเทศไทยครั้งที่ 3 ของแดนนี โอ’โดโนฮิว (Danny O’Donoghue) นักร้องนำ และเกล็น พาวเวอร์ (Glen Power) มือกลอง หลังทิ้งช่วงจากคอนเสิร์ตครั้งก่อนนานถึง 4 ปี งานนี้ The Script มาแบบไม่ครบ 3 ขาดมือกีตาร์อย่าง มาร์ค ชีฮาน (Mark Sheehan) ที่ไม่ได้มาทัวร์เนื่องจากปัญหาส่วนตัว แต่มือกีตาร์แบ็กอัปอย่าง โคลิน โรเจอร์ (Colin Roger) ก็ทำหน้าที่แทนได้อย่างดีทีเดียว
วันนี้ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ถูกกั้นฮอลล์ไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อรองรับแฟน ๆ ของ The Script ท่ามกลางอากาศเย็น ๆ จากภายนอกที่มีฝนตกอยู่ตลอด ก็ยิ่งชวนให้คอนเสิร์ตนี้มีบรรยากาศที่ดูสบาย ๆ ไม่อึดอัดจนเกินไป
เวลา 20.34 น.ในขณะที่ผมมองนาฬิกาอยู่พอดี ทันใดนั้นเองไฟทั้งฮอลล์ก็มืดสนิทลง เป็นอันรู้กันดีว่าพวกเขา ‘มาแล้ว’ แดนนีนักร้องนำและสมาชิกในวงวิ่งออกมาจากเวทีฝั่งขวา (ของคนดู) พร้อมกับเพลง “Superheroes” เพลงดังจากอัลบั้มชุดที่ 4 ‘No Sound Without Silence’
ก่อนต่อเนื่องด้วยเพลง “Rain” และ “We Cry” ซึ่งแดนนีเล่าก่อนเข้าเพลงว่า นี่คือเพลงแรกที่พวกเขารีลีสในนาม The Script นั่นเอง
“ผมมีความทรงจำที่ดีมาก ๆ กับสถานที่แห่งนี้ ประเทศไทยอยู่ในใจของพวกเราเสมอมา เราจำได้แม่นเลย เพราะรอบที่แล้วเราเมาค้างกันหนักมาก เราเมาค้างกัน 5 วันเลย มันบ้ามาก ๆ และเพลงนี้ขอมอบให้เหล่าแฟนเพลงอันบ้าคลั่ง จากคนไอริชที่บ้าเหมือนกันบนเวทีนี้” แดนนีพักคุยพูดกับแฟน ๆ เป็นครั้งแรก
“Paint the Town Green” ถูกบรรเลงต่อจากนั้น ก่อนที่ช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่ออินโทรเพลง “The Man Who Can’t Be Moved” เล่นขึ้นมา แฟนเพลงทั้งฮอลล์ต่างพากันร้องท่อนเวิร์สพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ในตอนนั้นคุณภาพเสียงและบรรยากาศโดยรวมถือว่าลงตัวมาก ๆ
แม้คอนเสิร์ตในครั้งนี้จะใช้ชื่อทัวร์ว่า ‘The Script Greatest Hits Live in Bangkok’ แต่ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่วงออกอัลบั้มพิเศษอย่าง ‘Tales from the Script’ ซึ่งเป็นผลงานที่รวมเพลงฮิตของวงตลอด 2 ทศวรรษเอาไว้ และเนื่องในโอกาสนี้ แดนนีก็ได้เล่าเรื่องราวจุดเริ่มต้นของวงให้แฟน ๆ ได้ฟังอีกด้วย
“พ่อของผมเป็นนักแต่งเพลงในดับลิน พ่อของเกล็นก็เหมือนกัน รู้ไหมว่าเขาทั้งคู่เคยเล่นดนตรีร้องเพลงด้วยกันมาแล้ว แต่ตอนนั้นเรา 2 คนไม่เคยพบหน้ากันเลยนะ แต่หลายปีต่อมาเราไปเจอกันที่แอลเอ ตอนนั้นเราทั้งคู่เมามาก ผมจำได้ว่าเราร้องเพลงของ Bee Gees ด้วยกันที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง แล้วพอตื่นเช้ามาตอนที่กำลังเมาค้างอยู่ เราก็ได้แต่งเพลงด้วยกัน แล้วจากนั้นเราก็เอาเพลงนั้นไปยื่นค่าย ซึ่งอีก 20 กว่าปีต่อมาเราก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้”
หลังเกริ่นนำเสร็จ วงก็ปิดท้ายช่วงนี้ด้วยเพลงเก่าอย่าง “Before the Worst” และเพลงใหม่ล่าสุดอย่าง “Dare You to Doubt Me”
ปัจจุบัน The Script มีธรรมเนียมระหว่างโชว์ ก็คือการเดินลงจากเวทีเพื่อมาร้องเพลงร่วมกับแฟน ๆ ในแบบอะคูสติก โดยครั้งที่แล้วพวกเขามาในธีมหวาน ๆ กับเพลง “If You Ever Come Back” และ “Never Seen Anything Quite Like You” แต่ครั้งนี้พวกเขาเลือกธีมและเพลงที่แตกต่างออกไปอย่าง “If You Could See Me Now” และ “Nothing” ซึ่งไฮไลต์ของคอนเสิร์ตเกิดขึ้นในเพลงหลังนี้เอง
มีอยู่จังหวะหนึ่งแดนนีได้ขอให้แฟนเพลงคนหนึ่งโทรหาแฟนเก่าของตัวเอง แล้วจากนั้นเขาก็ร้องเพลงนี้ใส่แฟนเก่าของแฟนเพลงคนนั้น ก่อนจะให้คนดูทั้งฮอลล์ตะโกนพร้อมกันใส่โทรศัพท์ไปอีกว่า “ฝันดีนะ ไอ้เฮงซวย” อีกทั้งยังทิ้งท้ายถึงแฟนเพลงคนนั้นแบบฮา ๆ ว่า “เชื่อผมอย่างคุณหาได้ดีกว่านี้อีก”
A post shared by The Script (@thescriptofficial)
The Script กลับขึ้นบนเวทีบรรเลงโชว์ของพวกเขาต่อเนื่องด้วยเพลง “Something Unreal”, “Talk You Down” ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลง “For the First Time” ผลงานดังจากอัลบั้ม ‘Science & Faith’ ซึ่งจังหวะนั้นจะสังเกตได้เลยว่าเสียงของแดนนีไม่ได้อยู่ในจุดเดิมอีกแล้ว
ย้อนกลับไปสมัยเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาครั้งแรก ในตอนนั้นแดนนีถูกตรวจพบว่ามีเนื้องอกที่เส้นเสียง ทำให้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 2 ครั้ง ซึ่ง “For the First Time” เป็นหนึ่งในเพลงของ The Script ที่มีการโหนโน้ตเยอะ ใช้พลังงานในการร้องมาก ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแดนนีต้องพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากทุกครั้งที่ร้องเพลงนี้
แม้พลังจะเริ่มร่อยหรอ แต่แดนนีก็ยังสามารถสร้างโมเมนตัมของโชว์ในช่วงท้ายนี้ให้อยู่ในระดับสูงได้ โดยเฉพาะการบิวต์อัปคนดูด้วยท่อน “Oh these times are hard Yeah, they’re making us crazy Don’t give up on me baby” ท่อนนี้ทำเอาหลาย ๆ คนขนลุกเลยทีเดียว เพราะแฟน ๆ ต่างโห่ร้องกันสนั่นลั่น ถึงขนาดที่ว่าจบเพลงแล้วพวกเขาก็ยังร้องท่อนนี้ไม่หยุดเลย แม้วงจะลงจากเวทีไปแล้วก็ตาม
The Script กลับขึ้นเวทีอีกครั้งพร้อม Encore ที่เรียกได้ว่าจัดหนักกระหน่ำใส่แฟนเพลงไม่ยั้ง โดยเริ่มจาก “No Good in Goodbye” และเพลงดังสุด ๆ จากอัลบั้มแรกอย่าง “Breakeven” ก่อนจะส่งท้ายคอนเสิร์ตด้วยเพลง “Hall of Fame”
The Script ปิดฉากคอนเสิร์ตนี้ได้อย่างงดงาม พวกเขาออกมาโค้งขอบคุณแฟน ๆ พร้อมแบ็กอัปของวง เหมือนกับทุกครั้งที่มาเยือน หนุ่มแดนนีในฐานะตัวแทนวงกล่าวขอบคุณแฟน ๆ เป็นครั้งสุดท้ายและสัญญาว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน
“ผมรับรองว่าเราจะกลับมา มันใช้เวลาไม่ถึง 4 ปี แน่นอน ขอบคุณที่ทำให้โชว์ในครั้งนี้ เหมือนเป็นโชว์ที่บ้านเกิดของเราเลย”
จังหวะที่จะลงจากเวทีจริง ๆ แดนนีก็ทิ้งทวนด้วยการร้องท่อนท้ายของเพลง “For the First Time” ร่วมกับแฟน ๆ อีกครั้ง ก่อนจะเดินลงจากเวทีเป็นอันเสร็จสิ้นโชว์อย่างสมบูรณ์แบบ
นี่ถือเป็นคอนเสิร์ตที่มีหลากหลายอารมณ์แอบซ่อนอยู่ The Script ยังทำได้ดีมาก ๆ ในเรื่องของการถ่ายเทพลังงานของความสนุกมาสู่แฟนเพลง การคุยนอกบทของแดนนี สร้างบรรยากาศของโชว์ให้ดูเป็นกันเองอย่างมาก สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่าการพูดคุยนี้ ทำให้แฟนเพลงรู้สึกผ่อนคลาย และทำให้โชว์ดูไม่เป็นทางการหรือเป็นแพตเทิร์นมากเกินไป แต่แน่นอนว่าการขาด มาร์ค ชีฮานไป มีผลกับซาวด์โดยรวมของ The Script อย่างมาก การขาดสมาชิกผู้เปรียบเสมือนเสาหลักของโชว์ ส่งผลให้แดนนีต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม เรื่องนี้สังเกตได้จากเพลง “No Good in Goodbye” ที่เสียงร้องของแดนนีเริ่มแกว่งอย่างเห็นได้ชัด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ The Script ต้องตัดเพลงออกไปอีกหนึ่งเพลงจากเซตลิสต์เดิม ซึ่งน่าเสียดายที่เพลงอย่าง “Arms Open”, “Never Seen Anything “Quite Like You” หรือ “Six Degrees of Separation” ไม่ถูกหยิบขึ้นมาร้องในคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย
แม้จะเป็นคอนเสิร์ตที่อาจไม่สุดเท่าครั้งที่แล้ว แต่ The Script ก็ยังมาพร้อมโชว์ที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายของความสนุกไม่เสื่อมคลาย เป็นคอนเสิร์ตที่คุ้มค่า และชวนให้เรารู้สึกอยากกลับมาชมโชว์ของพวกเขาอีกครั้ง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส