ปฏิเสธไม่ได้ว่า Joji (โจจิ) หรือ จอร์จ คูซูโนกิ มิลเลอร์ (George Kusunoki Miller) ถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่แฟนเพลงชาวไทยตั้งตารอจะชมคอนเสิร์ตของเขามากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งโจจิเพิ่งจะได้ฤกษ์บินมาเปิดคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทยกับโชว์ที่ใช้ชื่อว่า ‘Smithereens Tour’ เมื่อค่ำคืนของวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ Thunder Dome เมืองทองธานี
วินาทีที่แสงไฟมืดสนิทลง โจจิก้าวขึ้นสู่เวทีพร้อมกับเสียงกรี๊ดของแฟนเพลงชาวไทยที่วันนี้เข้ามาเต็มความจุของ Thunder Dome สิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นให้เห็นตั้งแต่ช่วงต้น โจจิเลือกใช้วิธีการเปิดตัวที่ต่างออกไปจากศิลปินคนอื่น ๆ เขาฉีกขนบธรรมเนียมของโชว์แบบเดิม ๆ ด้วยการ ‘พูดคุย’ กับคนดูก่อนจะเริ่มบรรเลงบทเพลง ซึ่งรูปแบบที่เขาทำเหมือนเป็นการส่งสารให้แฟน ๆ ได้รู้ว่า โชว์ในวันนี้จะดำเนินเรื่องแบบไหน
หลังอารัมภบทเสร็จสิ้น โจจิก็เริ่มโชว์อย่างเป็นทางการกับเพลงฮิตจากอัลบั้ม ‘Nectar’ เมื่อปี 2020 อย่าง “Sanctuary” ก่อนจะต่อเนื่องความสนุกเต็มที่กับเพลง “Yeah Right”, “will he”, “Pretty Boy”, “I Don’t Wanna Waste My Time”, “ATTENTION”, “Can’t Get Over You” และ “you suck charlie”
โดยในช่วงครึ่งแรกโจจิเลือกเรียงเพลงในโทนใกล้ ๆ กัน เขานำเสนอสุนทรียภาพและสุ้มเสียงของดนตรีอาร์แอนด์บี โล-ไฟ และทริป ฮอป ที่หลอมรวมเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
อย่างที่เกริ่นไป โชว์ช่วงแรกห้วงอารมณ์ที่สนุกมาก แต่พอมาถึงช่วงกลางโจจิก็ยังคงเล่นเพลงในเทมโป้ใกล้ ๆ เดิม และที่สังเกตได้ก็คือ เขาเลือกใช้วิธีการพูดสนทนาบนเวทีแบบเป็นกันเอง เพื่อที่จะส่งเข้าเพลงต่อ ๆ ไป ซึ่งนี่ถือเป็นวิธีการเชื่อมเข้าเพลงต่อไปที่ทำออกมาดูเข้าถึงง่ายและเป็นธรรมชาติไม่น้อย
จะเห็นได้ว่าโจจิมีวิธีการเอนเตอร์เทนคนดูด้วยการพูด แบบสไตล์ storytelling มีความกวนโอ๊ยซ่อนอยู่ตามจุด ๆ ต่าง ๆ ของโชว์ ไล่ตั้งแต่สับขาหลอกว่าจะเล่นเพลงใหม่ล่าสุด ก่อนสุดท้ายจะขึ้นเป็นเพลง “Shape of You” ของ เอ็ด ชีแรน (Ed Sheeran) แทน หรือจังหวะที่ให้คนแต่งตัวเป็นดอกเตอร์ สเตรนจ์ กระโดดขึ้นมาเซอร์ไพรส์บนเวที ซึ่งอะไรแบบนี้นับเป็นอารมณ์ขัน ที่เขาตั้งใจจะสอดแทรกเอาไว้
ช่วงท้ายโชว์โจจิเลือกเล่นเพลงอย่าง “Like You Do” และ “Gimme Love” ซึ่งมาถึง ณ จุดนี้จะสังเกตเห็นว่า มีหลายต่อหลายเพลงที่เขาเลือกตัดจบก่อน หรือมาแบบขยักขย่อน ซึ่งสำหรับใครที่คาดหวังจะฟังเต็มเพลง ก็อาจทำให้รู้สึกไม่สุดกับโชว์ก็เป็นได้
หลังลงจากเวทีแบบหลอก ๆ โจจิก็ขึ้นมาส่งท้ายแฟน ๆ ด้วยสองเพลง Encore อย่าง “Slow Dancing in the Dark” ที่เปิดหัวด้วยเวอร์ชันอะคูสติก ก่อนจะเข้าเพลงฉบับเต็มในจังหวะต่อมา ส่วน “Glimpse of Us” ก็นับเป็นเพลงจบที่เพอร์เฟกต์ทีเดียว เพราะแฟนเพลงชาวไทยต่างช่วยกันร้องสุดเสียงสนั่นลั่นฮอลล์
โชว์ในครั้งนี้มีหลายเพลงที่โจจิไม่ได้หยิบขึ้นมาเล่นมาเล่น โดยเฉพาะ “Die For You” ที่แฟน ๆ ตะโกนเรียกร้องตลอดช่วง Encore แต่สุดท้ายโจจิก็ไม่ได้สนองความปรารถนาของแฟน ๆ แต่อย่างใด
ด้านวิชวลไม่ได้มีอะไรหวือหวามากนัก แสงสีของโชว์มาในธีมแบบ “In the Dark” มาก เพราะมองแทบไม่เห็นหน้าโจจิเลย
ภาพรวมของคอนเสิร์ตแม้จะเป็นโชว์ที่ดี สนุกและเปี่ยมไปด้วยความบันเทิง แต่ความรู้สึกหลังโชว์จบ กลับให้ความรู้สึกไม่สุดอย่างใดอย่างนั้น นอกจากนี้โชว์แอบสั้นไปหน่อย เหมือนคุยครึ่งหนึ่ง เล่นอีกครึ่ง ใครชอบโชว์แบบ instrument จัด ๆ น่าจะไม่ชอบคอนเสิร์ตของโจจิเท่าไหร่ ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่ผมแอบเสียดายมาก ๆ มันเหมือนกับว่าเราสัมผัสได้ถึงพลังงานอันเหลือล้นของศิลปิน แต่สุดท้ายเหมือนมีอะไรบางอย่างมาคั่น จนไม่สามารถขับออกมาใช้ได้สุด นอกจากนี้โชว์ยังมาแบบโทนเดียวไม่มีเปลี่ยนฟีลสักเท่าไหร่ ใครที่ชอบโชว์แบบใช้เพลงหลาย ๆ เทมโป้ช่วยปรับเปลี่ยนอารมณ์ก็น่าจะไม่โปรดปรานโชว์นี้เช่นกัน
น่าเสียดายที่ความสนุกแบบสุด ๆ มาพรวดพราดช่วง Encore กับเพลง “Slow Dancing in the Dark” และ “Glimpse of Us” ซึ่งจัดว่าเป็นทีเด็ดของคอนเสิร์ตครั้งนี้เลย เสียดาย…น่าจะมี Encore อีกสักสองสามเพลง
แม้จะสนุกแบบอั้น ๆ ไม่สุดซะทีเดียว แต่ก็เป็นโชว์ที่ดูแล้วสุขไม่น้อยเหมือนกันนะ…
ขอขอบคุณ Very ผู้จัดงาน สำหรับการอำนวยความสะดวกระหว่างโชว์ในครั้งนี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส