สีดำเป็นสีที่แทนสัญลักษณ์ของ ความลึกลับ ความมืด ความน่ากลัว ซึ่งต่างอย่างสิ้นเชิงกับสีชมพู ที่ให้ความรู้สึกของความอ่อนโยน ความไร้เดียงสา หรือความสวยงาม สองสีนี้เป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกันมากซะจนเราแทบจินตนาการไม่ออก ว่าหากทั้งสองสีมาผสมกันมันจะออกมาเป็นอย่างไร มันจะเวิร์กเหรอ? แล้วจะมีใครชอบสีแปลก ๆ สีนี้ไหม?
แต่แล้วการเกิดขึ้นของ ‘BLACKPINK’ กลายเป็นคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้ สี่สาวมากความสามารถที่กล้าจะหยิบสีทั้งสองมาผสมผสานกัน จนก่อเกิดเป็นเฉดสีทางดนตรีใหม่ที่คนทั้งโลกต่างยอมรับ BLACKPINK นำเสนอสีสันที่แตกต่างออกไปจากวงเกิร์ลกรุ๊ปเคป๊อปในตลาด โดยเฉพาะการแสดงของพวกเธอกลายเป็นไวรัลและถูกพูดถึงอย่างมาก ในเรื่องของความสนุกที่มีครบทุกรสชาติ
ค่ำคืนของวันที่ 7 มกราคม 4 สาว เจนนี ลิซ่า จีซู และโรเซ่ ได้ฤกษ์กลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง พร้อมเวิลด์ทัวร์ที่ใช้ชื่อว่า ‘Born Pink World Tour’ ซึ่งนี่ถือเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ในไทยครั้งที่ 2 ของพวกเธอ นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2019 กับโชว์ ‘BLACKPINK 2019 World Tour [In Your Area]’
คอนเสิร์ตในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ช่วง แต่ละช่วงจะถูกคั่นด้วย Interlude ความยาว 2-5 นาที BLACKPINK โหมโรงด้วยเพลย์ลิสต์สุดฮิต ไม่ว่าจะเป็น “How You Like That”, “Pretty Savage”, “Whistle”, “Don’t Know What to Do” และ “Lovesick Girls”
แม้ก่อนโชว์จะมีดราม่าเดือดปุด ๆ เกี่ยวกับประเด็นสถานที่จัด ซึ่งหลายคนมองว่าอาจดูเก่าและล้าหลังเกินไป แต่ต้องบอกว่าประเด็นดังกล่าวถูกกลบมิดด้วยความสามารถของทั้งสี่สาวจริง ๆ โดยเฉพาะในช่วง 2 ที่ทั้งสี่ขนเพลงฮิต ๆ ออกมาเสิร์ฟบลิงค์นับหมื่นชีวิต ไล่ตั้งแต่ “Kill This Love”, “Crazy Over You”, “Playing with Fire”, “Tally” และ “Pink Venom”
โชว์ของ BLACKPINK โดดเด่นในเรื่องการดึงศักยภาพของสี่สาวออกมา ทั้งการร้องหรือเต้น ที่ทำออกมาได้สบายหูและเพลินตาอย่างมาก บวกกับดนตรีสดที่เรียบเรียงใหม่ โดยนักดนตรีสายอาร์แอนด์บีแท้ ๆ จากแอลเอ นำทีมโดย เบนนี ร็อดเจอร์ส ที่ 2 (Bennie Rodgers II – กลอง), โอมาร์ โดมินิก (Omar Dominick – เบส), ยุง เวอร์ลี (Yung Wurly) และ ชักกี กิบสัน (Chuckie Gibson – กีตาร์) ก็ทำให้แต่ละเพลงในโชว์นี้มีภาคดนตรีที่เข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม
ช่วงที่ 3 เป็นโชว์โซโลของแต่ละคน เริ่มจากจีซู ที่ถึงแม้จะยังไม่มีผลงานเดี่ยวของตัวเอง แต่เธอก็ทำได้ดีมาก ๆ กับการหยิบเพลง “Liar” ของกามิลา กาเบโย (Camila Cabello) มาร้องในรูปแบบของตัวเอง
อีกหนึ่งไฮไลต์ คือการเปิดตัวเพลงที่ยังไม่รีลิสของเจนนี อย่าง “I Love You & Me” ซึ่งบอกได้เลยว่า หลังจากได้ดูการแสดงของเธอในเพลงนี้แล้ว คาดว่านี่จะเป็นผลงานที่น่าจับตามองของปีแน่นอน
โรเซ่เองก็หยิบผลงานฮิตของตัวเองอย่าง “Hard to Love” และ “On The Ground” นำมาร้องให้แฟน ๆ ชาวไทยได้ฟัง ก่อนที่ช่วงนี้จะปิดท้ายด้วยโชว์ของลิซ่ากับเพลง “LALISA” และ “MONEY”
โชว์ช่วงสุดท้าย BLACKPINK กระหน่ำเพลงฮิตใส่แฟน ๆ ไม่ยั้ง ทั้ง “Shut Down”, “Typa Girl”, “DDU-DU DDU-DU” และ “Forever Young” ก่อนที่ทั้งสี่จะลงจากเวทีไปราว 10 นาที และกลับมาพร้อม Encore สามเพลง ได้แก่ “Yeah Yeah Yeah”, “Stay” และ “As If It’s Your Last” โดยมีการสอดแทรกโมเมนต์น่ารัก ๆ คือการร้องเพลงฉลองวันเกิดย้อนหลังให้กับสาวจีซูอีกด้วย
สิ่งที่ช็อตฟีลอย่างเดียวของคอนเสิร์ตนี้ คือการปล่อยให้ช่วงรอยต่อระหว่างเพลง มีเดดแอร์เยอะและนานเกินไป บางเพลงห้วงอารมณ์ของแฟน ๆ กำลังขึ้นไปอยู่จุดพีคแล้ว แต่กลับมาสะดุดในช่วงเปลี่ยนองก์ เพราะ Interlude บางตัวที่เปิดไว้รอระหว่างสี่สาวลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามีความยาวที่สั้นเกินไป จนทำให้โชว์หลาย ๆ ช่วงขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงหลังสุดที่มีการปล่อยเวทีจอดำนานเกือบ ๆ 10 นาที ทำเอาหลายคนเดินกลับเพราะคิดว่าคอนเสิร์ตจบแล้ว
‘Born Pink World Tour’ ถือเป็นคอนเสิร์ตที่นำเสนอโชว์ที่สนุกมาก BLACKPINK แสดงให้เห็นถึงโปรดักชันโชว์ระดับสูง ที่อัดแน่นคุณภาพทั้งเรื่องของการร้อง เต้น หรือแม้แต่การเอนเตอร์เทนผู้ชม การจัดเรียงเซตลิสต์ก็ทำออกมาได้อย่างลงตัว แม้เพลงจะเยอะ แต่ก็ไม่ให้ความรู้สึกที่น่าเบื่อเลยสักนิด ตลอดจนทีมแบ็กอัปและแดนเซอร์ก็สนับสนุนวงได้อย่างดีมาก ๆ โดยเฉพาะบีตกลองของ เบนนี ร็อดเจอร์ส ที่ตีซะจนสนามศุภฯ ร้อนเป็นไฟเลยทีเดียว
หากให้เปรียบโชว์ในครั้งนี้เป็นอะไรสักอย่าง ก็อาจเปรียบได้เป็นภาพงานศิลปะโทนสีดำผสมชมพู ที่มีการใช้เฉดสีหลากหลาย มีสีชมพูที่ดูอ่อนหวาน แต่ขณะเดียวกันสีดำก็มอบห้วงอารมณ์ของความแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน เป็นภาพวาดที่ดูมุมไหนก็จะเห็นแต่สร้างความบันเทิงใจเสมอ
เครดิตภาพ YG ENTERTAINMENT
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส