สิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนาน สำหรับความหวังของแฟน ๆ ที่จะได้ชมการแสดงสด ๆ จาก Arctic Monkeys วงร็อกอินดี้จากอังกฤษที่มีฐานแฟนเพลงในไทยแบบคับคั่งทำให้บัตรขายเกือบหมดเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็ว และในที่สุดก็ผ่านพ้นไปอย่างงดงามและสุดมันส์สำหรับคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทย “Arctic Monkeys Live in Bangkok” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ณ ไบเทค ฮอลล์ ที่ผ่านมา ด้วยความจุคนในฮอลล์กว่า 14,000 คน จึงทำให้ Arctic Monkeys Live in Bangkok เป็นคอนเสิร์ตเดี่ยวของวงที่มีคนดูเยอะที่สุดใน Asia Tour ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความรักที่แฟนเพลงชาวไทยมีให้ Arctic Monkeys ตลอด 17 ปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี และไม่น่าแปลกใจเลยที่เวลาแฟน ๆ โยกและกระโดดไปกับท่วงทำนองของวง ๆ กันถึงขนาดกับทำให้รู้สึกถึงแรงสั่นไหวภายในฮอลล์ได้เลย

ขณะที่กำลังรอการขึ้นมาปรากฏตัวบนเวทีของวง ก็ได้สำรวจดูโปรดักชั่นของโชว์ที่ไม่เน้นความหวือหวา ตื่นตา หรือพึ่งพากราฟิกเข้ามาช่วย เห็นแต่เพียงม่านผืนผ้าสีพาสเทลหวานเป็นแบ็คกราวด์อยู่เบื้องหลัง พร้อมแถบไฟ และ Mirrorball เหนือสเตจ (ซึ่งชวนให้คิดไปถึงเพลง “There’d Better Be a Mirrorball” จากอัลบั้มชุดล่าสุด ‘The Cars’ ซึ่งมั่นใจว่าวันนี้วงจะต้องเล่นแน่ ๆ) ส่วนด้านข้างเวทีก็มีจอขนาดใหญ่ทั้งซ้ายและขวาให้แฟน ๆ ได้จ้องหน้าพี่อเล็กซ์ เทอร์เนอร์ (Alex Turner) ฟรอนต์แมนสุดคูลของวง และสมาชิกคนอื่น ๆ ในวงได้อย่างเต็มตา

และแล้วในเวลาประมาณ 3 ทุ่มวงก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนเวที ด้วยความเท่ ความเก๋า และคาริสมาแบบร็อกสตาร์ตัวพ่อ ประเดิมเปิดโชว์ด้วยเพลงช้า “Sculptures of Anything Goes” จากอัลบั้ม ‘The Cars’ (ซึ่งเพิ่งปล่อยเอ็มวีออกมาไม่นานก่อนโชว์นี้) ที่ให้ความรู้สึกสง่า อลัง และขลังอย่างยิ่ง (และอเล็กซ์ก็โชว์ท่ายกขาไมค์ให้ลอยเหนือหัวอันเป็นท่า signature สุดเท่ให้เราได้เห็นกันต่อหน้าต่อตา) เป็นการเปิดตัวที่สะกดคนดูได้อย่างอยู่หมัด นับเป็นปฐมบทแห่งท่วงทำนองแรกของ Arctic Monkeys ในไทยแลนด์แดนสยามแห่งนี้ที่งดงามอย่างยิ่ง และวงก็ไม่รอช้าต่ออารมณ์ในเพลงถัดมาอย่างเร้าใจใส่ไม่ยั้งกับเพลงอย่าง “Brianstorm” ที่ปลุกไฟในตัวแฟน ๆ ให้เร่าร้อนดุเดือดขึ้นในทันที  นาทีนี้รอบตัว (รวมไปถึงเรา) ไม่มีใครจะยืนอยู่นิ่ง ๆ ได้แล้ว ทั้งฮอลล์สั่นไหวไปพร้อมกับท่วงทำนองอันเร้าใจและการกระโดดโลดเต้นของแฟน ๆ

จากนั้นแฟน ๆ ก็กระโดดโลดเต้นกันอย่างแทบหยุดหายใจ ด้วยชุดเพลงจากอัลบั้มก่อน ๆ ที่ตามมาอีกชุดใหญ่ไม่ว่าจะเป็น “Snap Out of It”, “Crying Lightning”, “Don’t Sit Down ‘Cause I’ve Moved Your Chair” ที่วงขนมาบรรเลงอย่างเมามันส์ ทำให้รู้เลยว่าการได้ฟัง Arctic Monkeys เล่นแบบสด ๆ นั้นมันทำให้บทเพลงของพวกเขาจากที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วกลับมีชีวิตชีวาและมวลพลังมากมายขึ้นมาอีกเท่าตัว

จากนั้นบทเพลงจากอัลบั้ม The Cars อย่าง “I Ain’t Quite Where I Think I Am” ก็ถูกนำมาบรรเลงบนเวที หลายคนอาจจะมีความรู้สึกว่า 2 อัลบั้มล่าสุดคือ Tranquility Base Hotel & Casino (2018) และ The Car (2022) อาจจะลดความ ‘โจ๊ะ’ ของวงไป และใส่ความ ‘แจ๊ซ’ เข้ามาแต่ว่าท่วงทำนองที่ดูสุขุมและงามสง่าของบทเพลงจาก 2 อัลบั้มนี้ก็เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่เราปฏิเสธไม่ได้เลย แน่นอนว่าหากนำมาเล่นโชว์สด ๆ มันอาจจะไม่โยกมันส์เหมือนเพลงในชุดเก่าก่อน แต่มันกลับเพิ่มรสชาติและเสน่ห์ให้กับโชว์อันเร่าร้อนของวงได้อย่างลงตัว จากนั้นก็มาเท่ ๆ กันต่อกับ “Why’d You Only Call Me When You’re High?” จากอัลบั้ม ‘AM’ ในปี 2013 ต้องบอกว่าโชว์นี้ถึงแม้อเล็กซ์และวงจะไม่พูดพร่ำแต่เลือกที่จะทำเพลงอย่างเดียว (ประโยคที่ได้ยินก็คงมีแต่ ‘Hey ! Bangkok’) แต่เรากลับรู้สึกได้ถึงพลังที่แฟน ๆ กับวงสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ผ่านบทเพลง ทำให้บรรยากาศในวันนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังของพลังร็อกที่น่าประทับใจจริง ๆ

“Four Out Of Five” จากอัลบั้ม ‘Tranquility Base Hotel & Casino’ เป็นหนึ่งในเพลงที่เราอยากจะฟังในโชว์นี้ และในที่สุดก็มาจริง ๆ แถมยังเป็นเวอร์ชันที่มีการเรียบเรียงใหม่สำหรับโชว์อีกด้วย เรียกได้ว่าลีลาและอารมณ์ของเพลงที่มันเท่และสุขุม ๆ นี้กลายเป็นอะไรที่ลงตัว จากนั้นก็ต่อด้วย “Arabella” ที่เวลาแสดงสดจะมีการผสานกับเพลง “War Pigs” ของ Black Sabbath ในช่วง outro ซึ่งครั้งแรกที่มีการ mash up กันนี้เกิดขึ้นในระหว่างการแสดงในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ลอนดอนปี 2012 และจากนั้นมาก็กลายเป็นที่โปรดปรานของบรรดาแฟน ๆ จากนั้นก็มามันส์กันต่อกับ “From the Ritz to the Rubble” และต่อด้วยเพลงอารมณ์นวล ๆ อย่าง​ “Cornerstone”

และแล้วบทเพลงที่แฟน ๆ รอคอยก็มาถึงนั่นคือ “Do I Wanna Know?” ที่แฟน ๆ ร้องตามกันแบบกระหึ่มไปทั้งฮอลล์ สะใจและสมใจกันไปแบบฟิน ๆ ต่อด้วย “Do Me a Favour” และ “Tranquility Base Hotel + Casino” ก่อนที่จะมามันส์กันกับอีกหนึ่งเพลงฮิตที่มาพร้อมจังหวะสุดโจ๊ะของวงอย่าง “Teddy Picker” ตามด้วย “Pretty Visitors” ที่มีจังหวะหนักแน่น และในที่สุดก็ถึงตาของ “I Bet You Look Good on the Dancefloor” อีกบทเพลงที่แฟน ๆ รอที่จะฟังและแดนซ์กันแบบสด  ๆ ไปพร้อมกับการบรรเลงของวง และบทเพลงสุดเร้าใจเพลงนี้ก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังจริง ๆ ก่อนที่วงจะปิดโชว์ด้วย “Body Paint” จากอัลบั้ม The Cars ที่มาพร้อมความซอฟต์อย่างสง่า ที่แถมท้ายด้วยท่อน outro ที่เรียบเรียงมาสำหรับเล่นในโชว์โดยเฉพาะ ส่งอารมณ์จบอย่างเร่าร้อน ตราตรึง ถึงอารมณ์ขั้นสุด การบรรเลงของวงพาอารมณ์เราไปจนถึงขีดสุดเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจก่อนที่ไฟบนเวทีจะดับลงและวงโบกมือลาไป

… แต่ก็เป็นการโบกมือลาเพียงชั่วคราว เพราะแน่นอนว่า หากวงจะลาลับกลับบ้านไปแบบไม่มี encore ก็จะยังไงอยู่ ในที่สุดหลังจากแฟน ๆ ส่งเสียงเรียกร้องได้ไม่นาน  Arctic Monkeys ก็กลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง พร้อม เปิดฉากโชว์ในช่วงสุดท้ายด้วยบทเพลง “There’d Better Be a Mirrorball” และในที่สุดเจ้า Mirrorball ก็ได้ทำหน้าที่ด้วยการส่องแสงจนเป็นประกายระยิบระยับไปทั่วทั้งฮอลล์ สร้างบรรยากาศสุดโรแมนซ์ให้กับแฟน ๆ ได้กรี๊ดและโยกตัวไปเบา ๆ กับบทเพลงอันละมุนเพลงนี้ ก่อนที่บทเพลงยอดฮิตอย่าง “505” จะถูกบรรเลงขึ้นมา เรียกเสียงกรี๊ดสนั่น แถมยังเป็นเวอร์ชันที่ต่างไปจากต้นฉบับนับเป็นความฟินเฉพาะสำหรับโชว์จริง ๆ ก่อนที่ช่วงเวลาสุดท้ายของโชว์นี้จะมาถึงอเล็กซ์ก็ได้ส่งเสียงทักทายแฟน ๆ ว่า “คืนนี้ผมมีคำถามหนึ่งจะมาถามพวกคุณ” และแน่นอนว่าคำถามนั้นคือ “R U Mine?” บทเพลงส่งท้ายของโชว์ที่พาเราทุกคนกลับบ้านไปอย่างมีความสุข เรียกได้ว่าในช่วงเวลากว่า 90 นาที ที่เราโยกและไหลไปกับ 21 บทเพลงจาก Arctic Monkeys นั้นคือการโชว์ที่คุ้มค่าสมกับการรอคอยมาอย่างยาวนานของแฟน ๆ ที่จะตราตรึงในใจของสาวก Arctic Monkeys ไปตลอด

• Setlist

01 Sculptures of Anything Goes

02 Brianstorm

03 Snap Out of It

04 Crying Lightning

05 Don’t Sit Down ‘Cause I’ve Moved Your Chair

06 I Ain’t Quite Where I Think I Am

07 Why’d You Only Call Me When You’re High?

08 Four Out of Five (New arrangement)

09 Arabella (With War Pigs outro)

10 From the Ritz to the Rubble

11 Cornerstone

12 Do I Wanna Know?

13 Do Me a Favour

14 Tranquility Base Hotel + Casino

15 Teddy Picker

16 Pretty Visitors

17 I Bet You Look Good on the Dancefloor

18 Body Paint

Encore:

19 There’d Better Be a Mirrorball

20 505 (New arrangement)

21 R U Mine?

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส