บรูโน่ มาร์ส (Bruno Mars) กลายเป็นอีกหนึ่งชื่อที่สามารถการันตีเพลงฮิตได้อย่างแท้จริงในยุคนี้ เพราะไม่ว่าจะทำเพลงไหนออกมา ก็ล้วนแต่ปังสุด ฉุดไม่อยู่ ชนิดที่ดาหน้ากวาดรางวัลเรียบทุกสถาบันทางดนตรี แต่กว่ามาร์สจะกลายเป็นนักร้องที่สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีได้แบบนี้ เขาต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่อายุยังน้อย อะไรคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางนักร้องของชายคนนี้
บรูโน่ มาร์ส หรือชื่อจริง ปีเตอร์ จีน เฮอร์นานเดซ (Peter Gene Hernandez) เกิดและเติบโตที่เมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา มาร์สเป็นเด็กที่มีหลายเชื้อชาติ พ่อของเขาเป็นคนเปอร์โตริกันเชื้อสายยิว ที่ย้ายมาจากบรูกลิน ส่วนแม่ของเขาเป็นคนฟิลิปปินส์เชื้อสายสเปน ซึ่งทั้งคู่ทำอาชีพรับจ้างเล่นดนตรีตามสถานที่ต่าง ๆ ในฮาวาย ทำให้มาร์สเติบโตมาพร้อมกับดีเอ็นเอของความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ตั้งแต่เล็ก ๆ
ประมาณปี 1988 ครอบครัวของมาร์สได้ก่อตั้งวงดนตรีสไตล์ลาสเวกัส ทำโชว์เลียนแบบคนดังต่าง ๆ ในชื่อว่า The Love Notes มาร์สในวัยเพียง 3 ขวบ เริ่มต้นฝึกฝนการเป็นนักร้องอาชีพ จากการเลียนแบบท่าทางและเสียงร้องให้เหมือนกับตำนานศิลปินอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) หรือ ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) ทำให้ต่อมาเขาถูกดันให้เป็นนักร้องหลักของวงเต็มตัว
ในวัย 4 ขวบมาร์สต้องเดินสายแสดง 5 วันต่อสัปดาห์ และด้วยงานที่หนักเกินวัย ทำให้บางครั้งเขาเกิดอาการกลัวขณะแสดงจนฉี่รดตัวเองต่อหน้าคนดู โชคดีที่มาร์สใช้ความขายหน้าในวันนั้นกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาสู้ต่อ จนเริ่มมีชื่อเสียงบนเกาะฮาวายในฐานะ ‘เอลวิส เพรสลีย์น้อย’
แม้วงจะมีงานโชว์อยู่บ้าง แต่ตลอดระยะเวลาหลายปี The Love Notes เป็นเพียงแค่วงต้อนรับแขกในโรงแรมไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือทำเงินได้มากพอสำหรับดูแลคนทั้งบ้าน เขาและครอบครัวต้องใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำอยู่หลายปี จนช่วงอายุ 12 ปี มาร์สต้องเผชิญกับมรสุมครอบครัวครั้งใหญ่ หลังจากที่พ่อกับแม่หย่าร้างกัน ตัวเขา พ่อและพี่ชาย เคยลำบากถึงขั้นต้องไปอาศัยอยู่หลังรถลีมูซีนหรือแม้กระทั่งนอนในสวนสัตว์ร้าง
ปี 2004 ช่วงวัยรุ่นมาร์สเริ่มมีความสนใจการแต่งเพลง และทำเพลง ทำให้หลังเรียนจบไฮสคูลที่ฮาวาย เขาก็ผลักดันตัวเองออกจากเกาะและมุ่งหน้าสู่แผ่นดินใหญ่อย่างลอสเอนเจลิส โดยมีเป้าหมายเดียวคือการเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง พอถึงแอลเอเขาได้โอกาสเซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับค่าย Motown Records และทำการเปลี่ยนชื่อจาก ปีเตอร์ เฮอร์นานเดซ มาใช้ชื่อในวงการอย่าง ‘บรูโน่ มาร์ส’ แทน ซึ่งบรูโน่มาจากชื่อเล่นที่พ่อของเขาชอบเรียกสมัยเด็ก ๆ ตั้งตาม บรูโน่ แซมมาติโน่ (Bruno Sammartino) นักมวยปล้ำดัง ส่วนคำว่ามาร์ส ก็มาจาก ชื่อดาวอังคาร เพราะเพื่อนชอบทักเขาว่ามาจากนอกโลก
แม้จะได้เซ็นสัญญากับค่ายในฝัน แต่ต่อมามาร์สก็ถูกค่ายดองนานหลายปี เพราะถูกมองว่าขายยาก และดูไม่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายไหนเลย เมื่อไม่มีโอกาสได้สร้างเพลงฮิตเป็นของตัวเอง มาร์สก็เริ่มหันไปทำงานเบื้องหลังกับเพื่อนใหม่ของเขาอย่าง อารี เลอวีน (Ari Levine) และ ฟิลิป ลอว์เรนซ์ (Philip Lawrence) ก่อนที่พวกเขาจะก่อตั้งทีมโปรดิวซ์สุดเจ๋งขึ้นมาในชื่อ ‘The Smeezingtons’ พวกเขาร่วมกันเขียนเพลงและโปรดิวซ์ให้กับศิลปินหลาย ๆ คน ไล่ตั้งแต่ “Right Round” ของ Flo Rida, “Nothin’ on You” และ “Billionaire” ของ ทราวี แม็กคอย (Travie McCoy)
หลังสร้างชื่อในฐานะคนเบื้องหลัง ในที่สุดปี 2010 มาร์สก็ได้มีโอกาสปล่อยอัลบั้มแรกของตัวเองออกมาอย่าง ‘Doo-Wops and Hooligans’ โดยมีผลงานฮิตกระฉ่อนโลกอย่าง ”Just the Way You Are”, ”Grenade” และ ”The Lazy Song” แม้จะเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเบื้องหน้า โดยการชิงแกรมมี่แบบปัง ๆ หกสาขา แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องอกหักกลับบ้านไป หลังไม่ชนะเลยสักสาขาเดียว
จากอัลบั้มแนวป๊อป กลิ่นอายเร็กเก้ โจ๊ะ ๆ ในชุดแรก มาร์สเริ่มเปลี่ยนแนวทาง หันมาทำเพลงที่ชวนให้สนุกยิ่งขึ้น ด้วยจังหวะดนตรีแบบโอลด์สคูล ฟังกี้ และเรียบหรู เซ็กซี่ด้วยโทนแบบดนตรีอาร์แอนด์บี จนคลอดออกมาเป็นผลงานชุดที่สอง ‘Unorthodox Jukebox’ ในปี 2012 โดยมีผลงานเพลงฮิตมากมายทั้ง “Locked Out of Heaven”, ”When I Was Your Man” และ “Treasure” แม้อัลบั้มชุดนี้จะไม่ปังที่สุด แต่ก็ดีพอส่งให้มาร์สได้แกรมมีตัวที่สองในชีวิตจากสาขาอัลบั้มขับร้องเพลงป๊อปยอดเยี่ยม
ผ่านไปสองปี มาร์สที่เหมือนจะเริ่มจับทางถูกว่าตัวเองเหมาะกับดนตรีแนวไหนที่สุด ก็โดดไปร่วมแจมโปรเจกต์เพลงฟังกี้เท่ ๆ ของ มาร์ก รอนสัน (Mark Ronson) อย่าง “Uptown Funk” ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้รางวัลใหญ่ของแกรมมีในปี 2016 อย่างสาขาบันทึกเสียงแห่งปี และขับร้องเพลงป๊อปคู่หรือกลุ่มยอดเยี่ยมแห่งปี
และหากพูดถึงผลงานที่สร้างปรากฏการณ์ และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชื่อของมาร์สถูกจารึกในฐานะศิลปินแถวหน้า ก็คงหนีในพ้นสตูดิโออัลบั้มชุดที่สามอย่าง ’24K Magic ผลงานเพลงที่มาร์สทิ้งสไตล์เพลงป๊อปเน้นจังหวะอัปบีตแบบเก่า ๆ และหันมาเอาจริงเอาจังกับดนตรีอาร์แอนด์บีโซล นิวแจ็กสวิง ที่เปิดตัวด้วยซิงเกิลเบสซินด์เท่ ๆ อย่าง “24K Magic” และตอกย้ำความฮิตด้วยเพลง ”That’s What I Like” และ “Versace on the Floor”
ด้วยคุณภาพของอัลบั้มชุดนี้ส่งผลให้มาร์สได้เข้าชิงแกรมมี่ 6 สาขาในปี 2018 ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์กวาดเรียบทุกรางวัลที่ได้เข้าชิง เช่น อัลบั้มแห่งปี บันทึกเสียงแห่งปีจากเพลง “24K Magic” และเพลงแห่งปีจาก ”That’s What I Like”
มาร์สแล้วมายาว ๆ หลังประสบความสำเร็จแบบสุด ๆ จากอัลบั้มชุดก่อน พอถึงปี 2021 กราฟชีวิตของมาร์สก็ติดลมบนต่อเนื่อง จากการหันไปทำโปรเจกต์ดูโอ้คู่กับ แอนเดอร์สัน พาร์ค (Anderson Paak) ในนาม An Evening with Silk Sonic และมีเพลงฮิตอย่าง “Leave the Door Open” ที่ทำให้มาร์สสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งบนเวทีแกรมมี่ เข้าชิง 4 สาขา ก่อนจะฟาดหมดทุกรางวัล เช่น สาขาบันทึกเสียงแห่งปี หรือ เพลงแห่งปี
ปัจจุบันมาร์สกลายเป็นนักร้องแถวหน้าของวงการเพลงโลก ผู้ได้รับฉายาว่าเป็นราชาเพลงป๊อปยุคใหม่ ที่ไม่ว่าจะออกเพลงไหนมา ก็ปังสุดฉุดไม่อยู่เกือบทุกเพลง ซึ่งตอนนี้เขาอยู่ในช่วงเดินสายคอนเสิร์ตเดี่ยวทั่วโลก โดยมีคิวเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งที่สามของเขา ในวันที่ 30 มีนาคม ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน และคาดว่าหลังเสร็จสิ้นภารกิจเวิลด์ทัวร์ มาร์สจะกลับไปซุ่มทำอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สี่ต่อ งานนี้แฟนเพลงอย่างเรา ๆ ก็คงได้แต่เปิดเพลงเก่าฟังรอกันไปก่อน