ในปีนี้ บิลลี ไอลิช (Billie Eilish) ศิลปินสาววัย 22 ปี และพี่ชาย ฟินเนียส โอคอนเนลล์ (Finneas O’Connell) สามารถสร้างปรากฏการณ์ร่วมกันอีกครั้ง ด้วยการนำพาบทเพลง “What Was I Made For ? ” เพลงประกอบภาพยนตร์ ‘Barbie’ (2023) คว้ารางวัลออสการ์ สาขาเพลงประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยมได้สำเร็จ หลังจากที่ทั้งคู่เคยคว้ารางวัลนี้ได้มาแล้วจาก “No Time to Die” เพลงประกอบภาพยนตร์ ‘No Time to Die’ (2021)
นอกจากในด้านของการเป็นศิลปินและนักแต่งเพลงที่สร้างปรากฏการณ์ระดับโลก เธอยังเป็นตัวแทนของรุ่นใหม่ที่มักจะออกมาสื่อสารเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเธอไม่ได้แค่ออกมาสื่อสารเพียงแค่ผิวเผิน แต่เธอเป็นคนที่มุ่งมั่นจริงจังในเรื่องของสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ล่าสุด ไอลิชได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Billboard เกี่ยวกับวิถีและมุมมองในการรักษาสิ่งแวดล้อมที่เธอและครอบครัวทำมาโดยตลอดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ไอลิชเล่าว่า “เมื่อฉันได้รับของขวัญ ฉันจะค่อย ๆ ลอกกระดาษห่อของขวัญ และแกะเทปกาวออกอย่างระมัดระวังโดยไม่ให้ฉีกขาด และฉันก็จะพับกระดาษเพื่อจะได้เอากลับมาใช้ใหม่ ฉันไม่อยากจะทำลายมันน่ะ” (หัวเราะ) นอกจากกระดาษห่อของขวัญ ในปี 2012 ครอบครัวของเธอได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการอุดหนุนเพื่อติดแผงโซลาร์เซลล์ที่บ้านในลอสแองเจลิส เพื่อจะได้ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มากขึ้น และในปี 2014 แพตทริก โอคอนเนลล์ (Patrick O’Connell) และ แม็กกี บาร์ด (Maggie Baird) พ่อและแม่ของทั้งคู่ยังตัดสินใจรื้อสนามหญ้าในบ้านออกไป เพื่อจะได้ลดการใช้น้ำให้มากขึ้น
และแน่นอนว่าไม่เว้นแม้แต่วงการเพลง เธอก็พยายามจะผลักดันให้เกิดความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในหลาย ๆ มิติ ตั้งแต่การจัดทัวร์คอนเสิร์ตที่ยั่งยืนโดยลดการใช้พลังงานและทรัพยากรให้ได้มากที่สุด รวมทั้งการผลิตอัลบั้มในรูปแบบต่าง ๆ ในปี 2022 เธอได้วางจำหน่ายอัลบั้ม ‘Happier Than Ever’ ในรูปแบบแผ่นเสียงที่มีความแตกต่างกัน 8 แบบ โดยแผ่นเสียงอัลบั้มนี้ผลิตจากไวนิลสีดำที่เป็นวัสดุรีไซเคิล 100% แผ่นเสียงแบบสุ่มสีจากไวนิลรีไซเคิล รวมไปถึงการใช้ฟิล์มหด (Shrink Film) ที่ผลิตมาจากอ้อยในการห่อหุ้มแพ็กเกจแทนวัสดุ PVC
ในบทสัมภาษณ์นี้ เธอจึงออกมาโจมตีศิลปินต่าง ๆ ที่ในเวลานี้มักจะมีการผลิตแผ่นเสียงอัลบั้มเดียวกันออกมามากมายหลายเวอร์ชันเพื่อให้แฟน ๆ ซื้อไปสะสม และในแง่ธุรกิจก็ถือเป็นการเพิ่มยอดขายและกระตุ้นจำนวนบนชาร์ตยอดขาย แต่เธอกลับมองว่ามันเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ
“เราอยู่ในยุคสมัยนี้ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ศิลปินบางคนจำเป็นต้องผลิตแผ่นเสียง และบรรจุภัณฑ์ทุกอย่างที่ช่วยเพิ่มตัวเลขยอดขาย และเพิ่มกำไรให้มากขึ้น ฉันคงชี้ให้คุณดูไม่ได้ว่ามันสิ้นเปลืองมากขนาดไหน มันเห็นกันอยู่ชัด ๆ แต่ผู้คนต่างก็ทำเป็นมองไม่เห็น ซึ่งฉันมองว่ามันน่าหงุดหงิดจริง ๆ นะ ในฐานะคนที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อความยั่งยืน และพยายามจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ และพยายามให้ทุกคน และคนในทีมของฉันมีส่วนร่วมในเรื่องความยั่งยืน”
“แล้วจากนั้นก็มีศิลปินเบอร์ใหญ่ระดับโลกที่ผลิตแพ็กเกจแผ่นเสียงออกมาแม่- 40 แบบแตกต่างกันให้มีจุดที่แตกต่างกันออกไป เพื่อจะทำให้คุณซื้ออีกเรื่อย ๆ มันเป็นอะไรที่สิ้นเปลืองมากนะ และมันก็ทำให้ฉันยิ่งรำคาญ ที่เรายังคงอยู่ในจุดที่คุณก็ยังคงใส่ใจเกี่ยวกับอันดับยอดขาย และสนใจเกี่ยวกับการกอบโกยเงินมากขนาดนั้นอยู่ แลศิลปินคนโปรดของคุณนั่นแหละที่แม่-ทำแบบนั้น”
แม้ไอลิชจะออกมาสัมภาษณ์เรียกร้องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อเธอให้สัมภาษณ์พาดพิงไปถึงศิลปินระดับโลก ก็ทำให้แฟนเพลงหลายคนพาลคิดไปถึงศิลปินหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือแม่เทย์ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ที่แม้ไอลิชจะไม่ได้เอ่ยอ้างชื่อ แต่แฟน ๆ หลายคนก็คิดถึงสวิฟต์ 1 ในศิลปินที่มักจะผลิตอัลบั้มแผ่นเสียงอัลบั้มเดียวกันออกมาหลาย ๆ เวอร์ชันให้สวิฟตี้ได้ซื้อไปฟังและเก็บสะสม หลังจากบทสัมภาษณ์เผยแพร่ ไอลิชจึงใช้สตอรี Instagram ของเธอเองในการออกมาแก้ข่าวว่า เธอไม่ได้ตั้งใจจะเจาะจงถึงใครทั้งสิ้น
“โอเค คือมันก็คงจะดีนะถ้าผู้คนจะเลิกหยุดเอาคำพูดจากปากฉันมาเติมแต่ง แล้วไปอ่านที่ฉันพูดในบทความของ Billboard จริง ๆ ฉันไม่ได้เจาะจงใครทั้งนั้นอ่ะ นี่มันเป็นปัญหาของอุตสาหกรรมทั้งระบบต่างหาก และถ้ามองจากหลาย ๆ ปัจจัย บรรดาศิลปินที่ออกอัลบั้มหลายเวอร์ชันก็รวมถึงชั้นด้วย! ฉันพูดไว้ทั้งหมดเคลียร์ ๆ แล้วในบทความ วิกฤติสภาพภูมิอากาศตอนนี้มันเป็น 1 ในปัญหาของเราทุกคน เราก็ต้องพยายามทำให้มันดีกว่าเดิมสิ แม่–งงงงง”
ที่ผ่านมา ไอลิชได้ผลักดันประเด็นสิ่งแวดล้อมผ่านการเคลื่อนไหวของเธอมากมาย ทั้งการก่อตั้งงานสัมมนา ‘Overheadted’ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาสภาวะอากาศแปรปรวน เธอและแม่ร่วมกันก่อตั้ง ‘Support + Feed’ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งร่วมกับหน่วยงาน REVERB ในการส่งเสริมการลดคาร์บอนที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมทางดนตรี ทั้งการแสดงคอนเสิร์ตด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และเสิร์ฟอาหาร Plant-based ให้กับศิลปินและทีมงาน
“มันเป็นการต่อสู้ที่แม่-ไม่มีวันสิ้นสุดหรอก เหมือนอย่างที่รู้กัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาบังคับให้ใครมาคอยดูแล สิ่งที่คุณทำได้คือแสดงออกและอธิบายสิ่งที่คุณเชื่อ แต่ผู้คนจำนวนมากไม่เข้าใจความรุนแรงของวิกฤติสภาพอากาศ พอพวกเขาสนใจ พวกเขาก็จะบอกว่า ‘แล้วประเด็นคือ ? ‘ ยังไงซะเราก็ต้องตายกันหมดอยู่ดี ใช่ เราทุกคนจะต้องตายในไม่ช้า แต่เราสามารถทำให้มันดีที่สุดได้นี่”