ในโลกของดนตรีที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การรักษาความสำเร็จและความนิยมให้ยาวนานกว่า 36 ปีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ Michael Learns to Rock (MLTR) วงดนตรีซอฟต์ร็อกและป๊อปร็อกรุ่นเก๋าจากเดนมาร์กวงนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การรักษามิตรภาพและสายสัมพันธ์กับแฟน ๆ เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้พวกเขายังคงยืนหยัดได้จนถึงทุกวันนี้

ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมานับตั้งแต่ก่อตั้งวงในปี 1988 วง Michael Learns to Rock ได้สร้างผลงานเพลงที่มีเอกลักษณ์และไพเราะจนได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในประเทศที่พวกเขามีความผูกพันอย่างลึกซึ้ง จากคอนเสิร์ตที่เต็มไปด้วยความทรงจำไปจนถึงการเป็นแรงบันดาลใจให้กับแฟนเพลงรุ่นใหม่

ในบทสัมภาษณ์นี้ เราจะได้ร่วมพูดคุยกับสมาชิกของวง Michael Learns to Rock เกี่ยวกับเส้นทางการทำงานที่ยาวนาน มิตรภาพที่ยั่งยืน และความประทับใจที่พวกเขามีต่อแฟนเพลงชาวไทยที่ให้การสนับสนุนพวกเขามาตลอดหลายปี

Michael Learns to Rock

  • จัสชา ริกเตอร์ (Jascha Richter) – ร้องนำ คีย์บอร์ด และแต่งเพลง
  • มิคเคล เลนท์ซ (Mikkel Lentz) – กีตาร์
  • คาเร วันเชอร์ (Kåre Wanscher) – กลอง
จากซ้ายไปขวา : มิคเคล เลนท์ซ (Mikkel Lentz) / จัสชา ริกเตอร์ (Jascha Richter) / คาเร วันเชอร์ (Kåre Wanscher)

BT: “A Life To Remember” เป็นเพลงที่งดงาม เนื้อเพลงนี้ทั้งความสวยงามและลึกซึ้ง อยากทราบว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเขียนเพลงนี้

ริกเตอร์: มันเป็นเพลงที่พูดถึงการเติบโตและความเปลี่ยนแปลง เมื่อเราอยู่ในวงการเพลงมา 30 ปีแล้ว แน่นอนว่าเราก็มีอายุมากขึ้น ดังนั้นเราจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องเยี่ยมที่จะสะท้อนถึงความเป็นจริงในเพลงด้วย และดูเหมือนว่าแฟน ๆ จะชอบเพลงนี้มาก เราสามารถติดตามได้บน Spotify และเห็นว่ามีคนฟังมากแค่ไหน มันทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ทำเพลงที่ถูกจังหวะและเหมาะสมในเวลานี้ นี่คือเพลงใหม่ และเราหวังว่าสถานีวิทยุต่าง ๆ จะเปิดเพลงนี้ให้คนได้ฟังเช่นกัน

เลนท์ซ: จริง ๆ แล้วเรามีเพลงที่เขียนไว้ 5 เพลง และเพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เราลองเปิดเพลงทั้ง 5 ให้เพื่อน ๆ และเพื่อนร่วมงานฟัง แล้วทุกคนต่างบอกว่าเพลงนี้ให้ความรู้สึกที่เป็น Michael Learns to Rock มาก เหมือนสไตล์ดั้งเดิมของพวกเราจริง ๆ ซึ่งเราชอบนะครับ เพราะว่าเนื้อเพลงก็มองย้อนกลับไปถึงชีวิตในวงการดนตรี และเราก็ทำเพลงมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เราจึงคิดว่ามันเชื่อมโยงกับเพลงแบบคลาสสิกของ Michael Learns to Rock ได้ดี และผู้คนก็พูดอย่างนั้น เราก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่เรามอบเพลงนี้ให้กับแฟน ๆ ครับ

วันเชอร์: จริง ๆ แล้วผมคิดว่าเพลงนี้เหมาะสมกับช่วงเวลานี้มากสำหรับพวกเรา เพราะเรากำลังอยู่ในจุดหนึ่งของชีวิตและเส้นทางอาชีพ ที่เราสามารถมองย้อนกลับไปและพยายามจดจำสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ผ่านมา รวมถึงมองชีวิตและอาชีพจากมุมมองใหม่บ้าง เพราะเราได้ผ่านอะไรมามากมาย ตอนนี้เราสามารถผ่อนคลายได้มากขึ้น และรู้สึกมั่นใจว่าสิ่งที่เราประสบความสำเร็จและสิ่งที่เราทำมาแล้วมีความหมายต่อผู้คนมากมาย สิ่งนี้ทำให้การย้อนมองกลับไปเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งนั่นแหละครับที่เพลงนี้สื่อถึงอยู่

BT: เพลงของคุณเต็มไปด้วยความรู้สึกจริงใจ และหลายเพลงของคุณก็เข้าถึงใจแฟน ๆ ทั่วโลก อยากรู้ว่าคุณเขียนเพลงเหล่านี้อย่างไร ในขณะที่คุณเขียน คุณจินตนาการถึงเรื่องราวหรือบุคคลใดที่คุณต้องการสื่อถึงบ้างไหม

ริกเตอร์: ในฐานะนักแต่งเพลงและสมาชิกของ Michael Learns to Rock ผมมักจะปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองนำทาง โดยเฉพาะในเรื่องของเมโลดี้และดนตรี จริง ๆ แล้วผมไม่ได้คิดอะไรมากมายหรือพยายามจินตนาการถึงเรื่องราวต่าง ๆ ผมแค่ปล่อยให้เนื้อเพลงเติบโตขึ้นจากเมโลดี้เอง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงลงเอยด้วยเนื้อเพลงแบบนี้ แต่มันก็เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองในเวลาที่ผมเขียนเพลงครับ

BT: มีเพลงรักเพลงไหนของ MLTR ที่มีความหมายพิเศษสำหรับสมาชิกแต่ละคนบ้างไหม แล้วเรื่องราวหรือความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังเพลงเหล่านั้นคืออะไร

วันเชอร์: เพลงทั้งหมดมีความหมายพิเศษสำหรับผมนะครับ แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นคนแต่งเอง เพราะเพลงเหล่านี้พวกเราทำร่วมกันในฐานะวง และเราเล่นเพลงเหล่านี้มาเยอะมาก แต่ก็มีบางเพลงที่พิเศษ เช่นเพลงแรกที่เป็นเพลงฮิตของเราอย่าง “The Actor” หรือ “Sleeping Child” ซึ่งเป็นเพลงฮิตเพลงแรกในประเทศไทย และเพลงช่วงแรก ๆ เหล่านี้ทำให้เราก้าวสู่กลุ่มผู้ฟังวงกว้าง ดังนั้นเพลงเหล่านี้จึงมีความสำคัญในความทรงจำและความเข้าใจในวงของเราเอง ผมคิดว่ายากที่จะเลือกแค่เพลงเดียวจริง ๆ

เลนท์ซ: ตั้งแต่เราเริ่มต้น สิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ตอนที่พวกเรามารวมตัวกันเป็นเด็กหนุ่มสี่คนก็คือ ทุกอย่างมันเข้ากันได้ตั้งแต่ค่ำคืนแรกที่เราเจอกันเลยครับ ตอนนั้นเราเขียนเพลงเสร็จไว้แล้วประมาณ 10 เพลง พอเรามารวมตัวกันและเล่นด้วยกัน เพลงเหล่านั้นก็ฟังดูเหมือนเพลงที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว มันให้ความรู้สึกเหมือนเราเป็นวงจริง ๆ และเคมีระหว่างเราสี่คนมันพิเศษมาก ๆ ตอนนี้ถึงแม้จะเหลือเราแค่สามคน แต่เคมีระหว่างเราก็ยังคงทำให้มันเป็นเพลงของ Michael Learns to Rock และผมคิดว่าตอนที่เราทำเพลงด้วยกัน มันจะมีสิ่งพิเศษที่เราจำเป็นต้องทำร่วมกันถึงจะออกมาได้ สำหรับพวกเรา เวทมนตร์ของมันอยู่ที่เคมีระหว่างเราจริง ๆ รวมถึงวิธีการทำงานและสิ่งที่เราทำร่วมกัน ผมคิดว่าเพลงที่เราชอบที่สุดมักเป็นเพลงที่ ‘เกิดขึ้นมาเอง’ เพลงเหล่านั้นเราแค่ทำงานกับมัน แล้วจู่ ๆ มันก็เติบโตและมีชีวิตของตัวเอง เช่นเพลง “25 Minutes” สำหรับพวกเราแล้ว การเล่นเพลงนี้เหมือนกับการดูหนัง ฟังเนื้อเพลงและรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่มันสื่อ และเรายังคงรู้สึกมีแพชชั่นเมื่อเล่น “Sleeping Child” เพราะเนื้อเพลงมันยังคงสวยงาม เหมือนกับการมอบอมยิ้มให้เด็ก มันเป็นอะไรที่วิเศษจริง ๆ ครับ

ริกเตอร์: ผมขอเสริมว่า “The Actor” เป็นเพลงแรกที่พิเศษมาก ๆ สำหรับเรา และยังมีเพลง “25 Minutes”และ “That’s Why (You Go Away)” ด้วย ที่จริงแล้วหลังจากเราเริ่มประสบความสำเร็จกับอัลบั้มแรกจากเพลง “The Actor” เพลงเหล่านี้ก็พร้อมอยู่แล้วสำหรับอัลบั้มต่อไป เพลงอย่าง “25 Minutes” “That’s Why (You Go Away)” และ “Sleeping Child” เราเคยคุยกันเกี่ยวกับเพลงเหล่านี้และคิดว่ามันน่าจะเป็นเพลงฮิตได้ ซึ่งมันก็กลายเป็นอย่างนั้นจริง ๆ รู้สึกดีที่ได้คุยกับคุณจากประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นที่แรกที่เราได้รับความสำเร็จอย่างมากในเอเชีย จากนั้นความนิยมก็เริ่มแพร่ขยายไปทั่วเอเชีย เรารู้สึกขอบคุณแฟนชาวไทยของเรา และอยากกลับไปเล่นคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยอีกครับ ขอบคุณมากจริง ๆ ครับ

เลนท์ซ: ใช่ ๆ หนึ่งในคอนเสิร์ตที่บ้าคลั่งที่สุดที่เราเคยเล่นคือที่กรุงเทพฯ ใช่แล้ว มีผับใหญ่ชื่อฟีบัส (Phoebus Amphitheater Complex) และเราเล่นในคืนเปิดงาน มีคนเยอะมาก และพวกเขากระโดดขึ้นลง พวกเขาบอกเราว่าอย่าเล่นเพลงร็อก อย่าเล่นเพลงเร็วเพราะคนกำลังเต้นกันมากไป แต่มันก็บ้าจริง ๆ เพราะจนถึงตอนนั้นเราแทบไม่เป็นที่รู้จักเลย จริง ๆ แล้วมันเป็นคอนเสิร์ตที่มีผู้ชมมากที่สุดที่เราเคยเล่นในเวลานั้น และมันก็เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ

ริกเตอร์: มันเกิดขึ้นในปี 1994

เลนท์ซ: โอ้วมัน 30 ปีมาแล้ว

วันเชอร์: ใช่ ๆ 30 ปีแล้วจริง ๆ นะเนี่ย !

BT: แล้วพวกคุณอยากจะบอกอะไรกับแฟน ๆ ชาวไทยของพวกคุณบ้าง

วันเชอร์: เรามีความรู้สึกที่เหนียวแน่นมากเกี่ยวกับแฟน ๆ ในประเทศไทย เพราะพวกเขาอยู่กับเรามาตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่ปี 93-94 เรามีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากมายในประเทศไทย และเรารู้ว่ามีแฟนชาวไทยจำนวนมากที่ฟังเพลงของเรา และเรารู้สึกดีใจมากกับเรื่องนั้น มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและดีเสมอเมื่อได้มาที่ประเทศไทย เรารักประเทศนี้ รักอาหาร รักวัฒนธรรมที่สวยงาม และทุกๆ สิ่งเกี่ยวกับประเทศไทย ดังนั้นเราขอขอบคุณแฟน ๆ ทุกคนในประเทศไทยและเราจะกลับไปเร็ว ๆ นี้แน่นอนครับ

ริกเตอร์/เลนท์ซ: เราคิดถึงคุณ เราคิดถึงคุณ !

BT: การรักษาความสำเร็จของวงดนตรีมาเกือบ 40 ปีถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เลย พวกคุณทำอย่างไรให้ความคิดสร้างสรรค์และความกระตือรือร้นในงานของพวกคุณยังคงอยู่

เลนท์ซ: อืม ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าผู้ชมหรือแฟน ๆ ของเราเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญ เพราะแฟน ๆ คือเหตุผลที่ทำให้เรายังอยู่ที่นี่ และเรากำลังทัวร์คอนเสิร์ตกันอยู่ตอนนี้ พวกเขาคือคนที่ไปที่คอนเสิร์ตของเราและทำให้ทุกสิ่งมันเป็นไปได้ ทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น และอีกสิ่งหนึ่งก็คือความสัมพันธ์ของพวกเราครับ มันเหมือนกับความเป็นพี่น้อง เราเล่นกันมา 36 ปีแล้ว ดังนั้นส่วนใหญ่ในชีวิตของเรา เราเล่นในวง Michael Learns to Rock มันเหมือนกับเป็นครอบครัว

วันเชอร์: ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่ทำให้เรายังอยู่ด้วยกัน อย่างที่มิคเคลพูด มันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสามคน แน่นอนว่าเรารู้ว่าเราสามารถพึ่งพากันได้ เราผ่านอะไรหลาย ๆ อย่างมาด้วยกัน ดังนั้นเรารู้จักกันดีและเราไว้วางใจกันและพึ่งพากันได้ มันสำคัญมากถ้าคุณอยากจะมีวงดนตรีที่ยืนยาวเหมือนการแต่งงานเลยครับ ดังนั้นนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรายังคงอยู่ด้วยกัน

เลนท์ซ: เราไม่รู้เลยว่าชีวิตเราจะเป็นยังไงถ้าไม่มี Michael Learns to Rock