ในวงการเพลงอินดี้ที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองที่หลากหลาย “Mr. Koo” วงดนตรีอินดี้จากฮ่องกงที่ประกอบด้วยสมาชิก 5 คน ได้แก่ ออลลี รอดเจอร์ส (Ollie Rodgers) – ร้องนำและกีตาร์, ทอม ชาน (Tom Chan) – เบส, แอนดี้ แม็คเบน (Andy Mcbain) – คีย์บอร์ด, เควิน เชง (Kevin Cheng) – กลอง และ จุน โฮ (Jun Ho) – แซ็กโซโฟน ที่ได้สร้างตัวตนที่ชัดเจนด้วยเสียงดนตรีแนว Surf Rock / Indie Rock ที่ผสมผสานกลิ่นอายของ Blues และ Psychedelic เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกล่อมพร้อมทั้งเสียงร้องที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณดึงดูดใจผู้ชมได้อย่างอยู่หมัด และข้อความที่เชื่อมโยงผู้ฟังกับธรรมชาติและชีวิตที่เรียบง่าย วงดนตรีจากฮ่องกงวงนี้นำเสนอผลงานที่สะท้อนถึงความหลงใหลในชายหาด ทะเล และการหลีกหนีจากความเร่งรีบของเมืองใหญ่ Mr. Koo ก่อตั้งโดย ออลลี รอดเจอร์ส (Ollie Rodgers) ศิลปินหนุ่มที่ใช้ดนตรีเป็นวิธีถ่ายทอดความทรงจำและอารมณ์ ตั้งแต่เพลงแรก “Big Wave Bay” ที่พูดถึงชายหาดในฮ่องกงไปจนถึงซิงเกิลล่าสุด “The Real World” ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง มากกว่าที่จะหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอดิจิทัล

ในโอกาสที่พวกเขาได้เดินทางมาแสดงสดที่ประเทศไทย BT Buzz ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ออลลี รอดเจอร์ส ถึงเรื่องราวเบื้องหลังเพลงดังของพวกเขา แรงบันดาลใจที่หลากหลาย ทั้งจากธรรมชาติ วัฒนธรรม และดนตรีจากยุคอดีต รวมถึงประสบการณ์ในการแสดงสดที่สร้างความประทับใจให้กับพวกเขาและแฟนเพลงอย่างมาก

BT: เราเริ่มจากชื่อวงกันก่อนเลย ว่าที่มาของชื่อ Mr. Koo คืออะไร

รอดเจอร์ส: จริง ๆ แล้วนามสกุลของแม่ผมคือ Koo ครับ เพราะผมเป็นลูกครึ่งจีน-อังกฤษ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ Mr.Koo ครับ เป็นส่วนหนึ่งของชื่อเต็มของผมด้วย และผมคิดว่ามันเป็นชื่อที่กระชับและฟังดูดี อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ผมใช้เชื่อมโยงกลับไปยังฝั่งเอเชียของตัวเองด้วย ดังนั้นในบางแง่ Mr.Koo ก็คือตัวผมเอง แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นชื่อของวงด้วย มันเหมือนเป็นชื่อโปรเจกต์ดนตรีทั้งหมดที่เรียกว่า Mr. Koo ครับ

BT: แล้ววง Mr. Koo ก่อตั้งขึ้นมาได้อย่างไร

รอดเจอร์ส: ผมเล่นกีตาร์ในวงดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ๆ ครับ และอยากเริ่มโปรเจกต์ดนตรีของตัวเองเพื่อปล่อยเพลงของตัวเองออกมา ผมคิดว่าชื่อนี้มันเหมาะมาก ตอนที่ผมอยู่ที่นิวยอร์ก ผมมีวีซ่าทำงาน 1 ปี และที่นั่นผมเริ่มแสดงดนตรีกับเพื่อน ๆ และเล่นโชว์ต่าง ๆ จากนั้นผมย้ายกลับมาฮ่องกงเมื่อ 6 ปีก่อน และรวมสมาชิกใหม่ในวงภายใต้ชื่อ Mr. Koo ตั้งแต่นั้นมาพวกเราก็เล่นดนตรีและปล่อยเพลงเรื่อยมาเป็นเวลา 6 ปีแล้วครับ

BT: Mr.Koo เพิ่งปล่อยซิงเกิลล่าสุด “The Real World” ออกมา อยากรู้ว่าแรงบันดาลใจเบื้องหลังเพลงนี้คืออะไร และข้อความอะไรที่คุณอยากสื่อผ่านเพลงนี้

รอดเจอร์ส: แน่นอนครับ เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายกับผมมาก มันเป็นเพลงที่พูดถึงการก้าวถอยหลังออกมาจากอุปกรณ์ดิจิทัลและยุคดิจิทัลที่เรากำลังอยู่ในปัจจุบัน คุณก็รู้ใช่ไหมครับว่า ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้า เต็มไปด้วยบริษัทและวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ผู้คนต่างอยู่กับโทรศัพท์ตลอดเวลา เพลง “The Real World” พูดถึงการชื่นชมสิ่งเล็ก ๆ และเรียบง่ายรอบตัวคุณ อย่างธรรมชาติ แสงแดด การได้สูดอากาศบริสุทธิ์ และการละสายตาจากหน้าจอบ้างในบางครั้ง เพื่อระลึกถึงช่วงเวลาที่เคยไม่มีสิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่าในปี 2024 เทคโนโลยีมีอิทธิพลกับชีวิตเราอย่างมาก แต่มันก็เป็นการเตือนให้เราชื่นชมโลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่รอบตัวเรา และจำไว้ว่านั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเราด้วยครับ

BT: นอกจากเพลงนี้แล้ว สังเกตว่าเพลงอื่น ๆ ของ Mr.Koo ก็ดูเหมือนจะสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับความกลมกลืนกับธรรมชาติ การหาความผ่อนคลาย และการก้าวออกจากความเร่งรีบของยุคดิจิทัล

รอดเจอร์ส: ใช่ครับ ฮ่องกงไม่ได้มีแค่เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกคอนกรีต แต่ยังมีธรรมชาติ ชายหาด และพื้นที่กลางแจ้งมากมาย ผมคิดว่าในเพลงของ Mr. Koo เราพยายามแต่งเพลงที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เช่น แนว Surf Rock และเพลงที่ให้บรรยากาศชายหาด เพื่อช่วยให้ผู้คนได้พักผ่อนและหลีกหนีจากความเครียดของชีวิตในเมือง ผมได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง Surf Rock ยุคเก่า ๆ และเพลงอะคูสติก รวมถึงกีตาร์อะคูสติกแบบฮาวาย หรือแม้แต่ดนตรีในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ เพลงของเรายังได้รับอิทธิพลจากเพลง Blues เพราะผมเติบโตมากับเพลงแนวนี้ รวมถึง Psychedelic Rock และ Bedroom Pop ด้วย ดังนั้นเพลงของเราจึงผสมผสานอิทธิพลที่หลากหลาย แต่โดยหลักแล้วมันเป็นเพลง Indie Rock ที่ให้ความรู้สึกสบาย ๆ ผ่อนคลาย และมีข้อความหลักคือ ‘ช้าลงบ้าง หายใจลึก ๆ และหาทางเดินของคุณในโลกที่วุ่นวายใบนี้’ ครับ

BT: Mr.Koo เปิดตัวได้ดีมาก ๆ ด้วยเพลง “Big Wave Bay” ซึ่งเป็นเพลงที่น่าประทับใจจริง ๆ อยากรู้ว่าเรื่องราวหรือแรงบันดาลใจเบื้องหลังเพลงนี้คืออะไร

รอดเจอร์ส: “Big Wave Bay” เป็นชื่อชายหาดในฮ่องกงครับ มันเป็นสถานที่ที่ผมเคยไปตอนเด็ก ๆ จริง ๆ แล้วผมเขียนเพลงนี้ตอนอยู่ที่สหรัฐฯ บนชายฝั่งตะวันออก ซึ่งในวันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวและมีหิมะตก ผมรู้สึกคิดถึงสภาพอากาศแบบเขตร้อนในฮ่องกง เลยเขียนเพลงนี้เพื่อพูดถึงชายหาดที่สวยงามและทิวทัศน์แบบเขตร้อนที่คุณจะพบได้ในฮ่องกง เพลงนี้เป็นซิงเกิลแรกที่ผมปล่อยออกมา และจนถึงตอนนี้ผู้คนยังคงชื่นชอบเพลงนี้อยู่เสมอ เรามักจะใช้เพลงนี้เป็นเพลงปิดโชว์ มันเป็นเพลงที่สนุก จังหวะดี และมีกลิ่นอายของ Surf Rock ในเนื้อเพลงยังมีท่อนที่พูดถึงการละสายตาจากหน้าจอ เช่น ท่อน ‘turn off that screen, go airplane mode’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในบางครั้งเราควรพักจากโทรศัพท์และอยู่กับปัจจุบัน ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งสำคัญและเป็นข้อความที่เพลงนี้ต้องการสื่อครับ

BT: Mr.Koo มีวิธีการแต่งเพลงทำเพลงกันอย่างไร

รอดเจอร์ส: ผมมักเริ่มจากการเล่นกีตาร์หรือเปียโนครับ ผมเล่นเครื่องดนตรีหลายอย่าง เช่น กีตาร์ กลอง และเบส แต่ส่วนใหญ่ผมจะเขียนคอร์ดบนกีตาร์ก่อน แล้วผมอาจผิวปากเป็นเมโลดี้ หรือบางครั้งก็เริ่มจากดนตรีก่อนที่จะเพิ่มเนื้อเพลงเข้าไป ผมพยายามไม่เร่งรีบเขียนเนื้อเพลงเร็วเกินไปครับ บางเพลงผมเริ่มจากประสบการณ์ชีวิตจริง แล้วเขียนออกมาเป็นบทกวี จากนั้นจึงนำมาประกอบเข้ากับดนตรี ผมไม่เคยบังคับตัวเองให้ทำเพลง โดยปกติมันจะมาหาผมเองตามธรรมชาติ บางเพลงใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้นเพราะมันไหลออกมาอย่างง่ายดาย ดนตรีเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับผมในการแสดงอารมณ์และความรู้สึกเกี่ยวกับประสบการณ์ในชีวิต ดังนั้นอัลบั้มของผมเหมือนกับสมุดบันทึกความคิดสร้างสรรค์ เมื่อผมเขียนเพลงเสร็จแล้ว ผมจะนำมันไปให้วงลองแจมดู 2-3 รอบ ผมให้อิสระพวกเขาในการเพิ่มสิ่งที่ต้องการเข้าไป จากนั้นเราจะอัดโครงสร้างหลักของเพลงในสตูดิโอ และสุดท้ายผมจะกลับมาเพิ่มรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และทำฮาร์โมนีด้วยตัวเองครับ

BT: ตอนนี้วงการดนตรีอินดี้กำลังคึกคักมากขึ้นเรื่อย ๆ เป้าหมายในอนาคตของ Mr.Koo เป็นอย่างไรบ้าง

รอดเจอร์ส: เราเล่นโชว์ในฮ่องกงมาประมาณ 5 ปีแล้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงตื่นเต้นมากที่จะได้เล่นที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก เพราะผมชอบซีนอินดี้ที่นี่มาก ผมคิดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราอยากสำรวจสถานที่อื่น ๆ ในเอเชียให้มากขึ้น อยากเล่นในประเทศไทยมากขึ้น ไม่ใช่แค่ที่กรุงเทพฯ และอาจจะไปไต้หวันด้วย เพราะเรามีผู้ฟังบางส่วนที่นั่น เราจะปล่อยเพลงใหม่ ๆ ออกมา และออกอัลบั้มใหม่พร้อมสนุกไปกับมัน เราไม่ได้จริงจังกับทุกอย่างมากเกินไป เราเป็นเพื่อนกันหมดและแค่สนุกไปกับการเล่นดนตรีด้วยกัน เล่นที่สถานที่ใหม่ ๆ และเขียนเพลงใหม่ ๆ แต่เราก็อยากลองเล่นในต่างประเทศมากขึ้น และเล่นในเทศกาลดนตรีให้มากขึ้นด้วยครับ

BT: คุณมีประสบการณ์หรือความทรงจำที่น่าจดจำจากการแสดงสดไหม เล่าให้ฟังหน่อย ไม่ว่าจะเป็นในฮ่องกงหรือต่างประเทศก็ได้

รอดเจอร์ส: ประสบการณ์ที่น่าจดจำอย่างหนึ่งก็คือการได้เล่นในเทศกาล Clockenflap เมื่อปีที่แล้วครับ เพราะตอนเป็นวัยรุ่นผมเคยไปงานนั้น และมันเหมือนฝันที่เป็นจริงที่ได้เล่นและเห็นเพื่อน ๆ ของผมในสถานที่สวยงามนั้น อีกความทรงจำหนึ่งที่ผมคิดถึงคือเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เราเล่นในบาร์แห่งหนึ่ง มีผู้หญิงที่เมาเต้นอย่างสนุกสนานจนเธอล้มไปชนคีย์บอร์ดของมือคีย์บอร์ดของผม จากนั้นเขาก็ช่วยเธอลุกขึ้น และเธอก็เต้นต่อไป ซึ่งมันตลกมากครับ ผมชอบเวลาที่ผู้ชมสนุกกับเพลงของเรา เพราะดนตรีสดสามารถดึงพลังบางอย่างออกมาจากผู้คน บางคนก็อยากปลดปล่อยตัวเองด้วยการเต้น รวมถึงมีแอลกอฮอล์เล็กน้อยเป็นตัวช่วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงชอบเล่นสด เพราะปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมมันน่าตื่นเต้นเสมอ สิ่งที่ผมอยากนำเสนอในการแสดงสดก็คือการสร้างความสนุก และพูดคุยกับผู้ชม ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งสำคัญในดนตรีสด การพูดคุยและโต้ตอบกับพวกเขา ทำให้ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่น่าจดจำครับ

BT: แล้วคุณรู้สึกอย่างไรกับการได้แสดงในประเทศไทย

รอดเจอร์ส: เราตื่นเต้นมากครับ คืนนี้ (21 พ.ย.) เราจะเล่นร่วมกับวงที่ยอดเยี่ยมอีกหลายวง และพรุ่งนี้เรายังได้โชว์ที่ Soho House Bangkok อีก เราตื่นเต้นสุด ๆ ที่จะได้นำเพลงของเราไปให้ผู้ชมกลุ่มใหม่ ๆ ได้ฟัง และได้พบกับนักดนตรีคนอื่น ๆ ทุกคนที่นี่มักจะเป็นมิตรและใจดีกับเรามาก เราแทบรอไม่ไหวที่จะกลับมาอีกครั้งเลยครับ

BT: มีอะไรอยากฝากถึงแฟนเพลงชาวไทย

ขอให้สนุกกับเสียงเพลงนะครับ พวกเราอยากกลับมาอีก ผมรักประเทศไทย รักอาหาร ผู้คน อากาศ และผมดีใจมากที่ประเทศไทยอยู่ใกล้ฮ่องกงและเดินทางมาง่าย ดังนั้นพวกเรายินดีมากที่จะกลับมาที่กรุงเทพฯ ประเทศไทยอีกครั้งในปีหน้า ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผมชอบซีนอินดี้ที่นี่มาก ผมคิดว่ามีวงดนตรีเจ๋ง ๆ หลายวงที่น่าทึ่งและสร้างแรงบันดาลใจได้เยอะมากครับ