หลังจากที่ได้ปล่อย single ใหม่ออกมา 2 เพลงคือ Heavy และ Battle Symphony เหล่าสาวกวง Nu Metal ขวัญใจวัยโจ๋อย่าง Linkin Park ก็เป็นอันต้องงงเป็นไก่ตาแตก และอุทานออกมาว่า “นี่หรือคือ Linkin Park?”
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งธรรมดาของโลก การที่วงดนตรีวงใดวงหนึ่งจะผันเปลี่ยนทิศทางการทำเพลงไปต่อให้จะแบบหน้ามือเป็นหลังมืออย่างไรก็ตาม ก็ย่อมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
และในที่สุดตอนนี้ Linkin Park ก็ได้ปล่อยอัลบั้มใหม่ในชื่อ “One More Light” ออกมาให้ฟังกันอย่างเต็มอิ่มครบทุกเพลงทั้งอัลบั้ม
โดยอัลบั้มนี้มีทั้งหมด 10 เพลง รวมความยาวประมาณ 35 นาที ซึ่งประกอบไปด้วย
- Nobody Can Save Me
- Good Goodbye
- Talking to Myself
- Battle Symphony
- Invisible
- Heavy
- Sorry for Now
- Halfway Right
- One More Light
- Sharp Edges
และวันนี้ What The fact เราก็จะมารีวิวเพลงทั้งอัลบั้มแบบ เพลงต่อเพลงกันเลยทีเดียว
Track 1 : Nobody Can Save Me
“But nobody can save me now
I’m holding up a light
I’m chasing out the darkness inside
‘Cause nobody can save me”
เปิดอัลบั้มกันด้วยเพลงจังหวะกลางๆ สบายๆไม่ช้าไม่เร็ว ฟังสบายสไตล์เพลงป็อป (ซึ่งเป็น genre ของอัลบั้มนี้นั่นเอง) ถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่กำลังต่อสู้กับด้านมืดในจิตใจตน ที่คงไม่มีใครที่จะช่วยเราได้ นอกจากตัวเราที่รู้จักตัวตนของเราเองดีที่สุด
Track 2 : Good Goodbye
“ So say goodbye and hit the road
Pack it up and disappear
You better have some place to go
‘Cause you can’t come back around here
Good goodbye”
เพลงนี้ได้ 2 แร็ปเปอร์ Pusha T และ Stormy มาร่วม featuring ด้วย โดยไอเดียของเพลงนี้เริ่มมาจาก ความชื่นชอบในกีฬาบาสเก็ตบอลของ Mike Shinoda ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากช่วงเวลาที่นักกีฬาโดนไล่ออกจากสนาม แต่เชียร์ลีดเดอร์ก็ยังคงร้องเชียร์ต่อไป ในขณะที่คนโดนไล่ต้องเดินคอตก โดยนำไปเปรียบเปรยกับการสิ้นสุดของความสัมพันธ์ เพลงนี้มาพร้อมกับจังหวะที่โยกตัวตามไปได้ เสียงร้องของ Chester Bennington ในท่อน chorus ที่ผสานไปกับท่อนแร็พที่ขับร้องโดย Mike Shinoda และ 2 แร็ปเปอร์ Pusha T และ Stormy ทำให้บทเพลงนี้มีท่วงทำนองที่เร้าใจขึ้นมา
Track 3 : Talking to My Self
“The truth is, you turned into someone else
You keep running like the sky is falling
I can whisper, I can yell
But I know, yeah I know, yeah I know
I’m just talking to myself”
เพลงนี้ Chester ได้รับแรงบันดาลใจมาจากมุมมองของ Talinda ภรรยาของเขา โดยบอกเล่าเรื่องราวของคู่รักที่เกิดความไม่เข้าใจกัน ซึ่งต่อให้พูดเท่าไหร่ บอกไปเท่าไหร่ ก็เหมือนแค่พูดกับตัวเองเท่านั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย และเราก็ต้องคอยต่อสู้กับปัญหาในจิตใจของเราเพียงลำพัง โดย Chester กล่าวว่า เพลงนี้มีความสัมพันธ์กับความรู้สึกของคนในวงในช่วงเวลาที่เขากำลังต่อสู้กับปัญหาในจิตใจของตัวเอง ส่วนในภาคดนตรีนั้นเพลงนี้น่าจะมีความร็อคที่สุดในอัลบั้มแล้ว ท่อนอินโทรเปิดมาด้วยเสียงกีตาร์ที่เล่นแบบ single line ชวนให้รู้สึกในความเป็นร็อคและโทนของเพลงนี้ช่วยให้นึกถึงงานเพลงของ The Killers
Track 4 : Battle Symphony
“I hear my battle symphony
All the world in front of me
If my armor breaks
I’ll fuse it back together”
เพลงนี้เป็น single ที่ 2 ของอัลบั้มนี้ ถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่กำลังต่อสู้กับเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวราวกับบทเพลง Symphony (รู้สึกอัลบั้มนี้จะพูดแต่เรื่องเสียงภายใน การต่อสู้กับความสับสนภายในจิตใจ) แต่ในภาคดนตรีกับมาพร้อมท่วงทำนองแบบเพลงป็อปฟังสบายๆ ไม่ได้หนักหน่วงไปตามเนื้อหาเลย
Track 5 : Invisible
“If I cannot break your fall
I’ll pick you up right off the ground
If you felt invisible, I won’t let you feel that now”
Invisible ถ่ายทอดความรู้สึกที่เรามีต่อคนที่เรารักเมื่อเราทำบางสิ่งบางอย่างให้เขาเสียใจโดยไม่ตั้งใจ เราแค่อยากให้รู้ไว้ว่าเรายังแคร์และใส่ใจเขาเสมอไม่ได้มองไม่เห็นค่าหรือปล่อยให้อยู่นอกสายตานะเออ โดยเพลงนี้แรงบันดาลใจมาจากความรู้สึกของ Mike ที่มีต่อลูกๆที่เมื่อพวกเขาโตขึ้นและเป็นวัยรุ่น คงมีหลายสิ่งที่เราอยากห้ามอยากบอก และถึงแม้ลูกๆของเราจะไม่อยากฟังแต่เราก็จำเป็นต้องทำ และที่ทำก็เพราะว่าเราแคร์ไม่ใช่เพราะอยากทำลายความรู้สึกลูกๆ
Track 6 : Heavy
“I’m holding on
Why is everything so heavy?”
Heavy เป็น single เปิดตัวของอัลบั้มนี้เลย (เจ้าเพลงนี้แหละที่ทำให้เราเหวอ!) เพลงนี้ได้นักร้องสาว Kiiara มาร่วมขับร้องด้วย ถ่ายทอดเรื่องราวของคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความทุกข์ที่ต้องแบกรับอะไรไว้มากมาย และก็คอยถามตัวเองว่า “ทำไมตรูต้องแบกอะไรพวกนี้ไว้ด้วยฟระ?” และเมื่อได้ถอยหลังและมองย้อนกลับมาจึงได้รู้ว่าทุกปัญหาทั้งหลายมันกองสุมอยู่ที่ใจเรานั่นเอง(สาธุ)
Track 7 : Sorry For Now
“Oh I’ll be sorry for now
That I couldn’t be around
There will be a day
That you will understand
You will understand”
เป็นเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องของ Mike กับลูกๆ (อีกแล้ว) ที่ต้องรู้สึกหัวร้อนทุกครั้งที่พ่อต้องออกไปทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่ง Mike ก็ต้องไปเพราะมันเป็นหน้าที่เป็นงานที่ต้องทำโดยหวังว่าวันนึงลูกๆจะเข้าใจ
Track 8 : Halfway Right
“I know what I want, but it feels like I’m paralyzed
I don’t lose, I don’t win, if I’m wrong, then I’m halfway right”
เพลงนี้ Chester ร้องคนเดียวเดี่ยวโดดโดยไม่มี Mike และสมาชิกคนอื่นๆร่วมด้วยเลย เพราะมันต้องการจะสะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ Chester มีต่อภาวะติดยาที่เขาเคยประสบมา
Track 9 : One More Light
“Who cares when someone’s time runs out?
If a moment is all we are
We’re quicker, quicker
Who cares if one more light goes out?
Well I do”
เพลงชื่อเดียวกันกับชื่ออัลบั้ม โดยเพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายคมคายและเป็นสิ่งที่สมาชิกวงต้องการที่จะถ่ายทอดออกมา เพื่อสื่อว่าความสูญเสียนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดังนั้นเราควรรู้จักที่จะบอกคนที่เรารักว่าเราแคร์พวกเขามากแค่ไหนในวันที่เรายังมีโอกาสที่จะทำมันได้ โทนของเพลงนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากเพลงอื่นๆในอัลบั้ม โดยเพลงนี้มีความบางเบาแต่งดงาม เราจะได้ยินเพียงเสียงร้องที่ขับขานท่ามกลางท่วงทำนองที่บรรเลงโดยกีตาร์และเปียโนโดยไม่มีเสียงของเครื่องให้จังหวะใดๆเลย
Track 10 : Sharp Edges
“Sharp edges have consequences, I
Guess that I had to find out for myself
Sharp edges have consequences, now
Every scar is a story I can tell”
เพลงนี้มาพร้อมเสียงกีตาร์ที่บรรเลงแบบ finger picking ให้อารมณ์ของบทเพลงโฟล์คอันไพเราะ เนื้อหาของเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากการรำลึกถึงช่วงเวลาในวัยเด็กของ Chester ที่เขาทั้งดื้อและหัวแข็งไม่ยอมรับฟังคำสั่งสอนและความเป็นห่วงจากแม่ของเขาเลย โดย Chester นึกถึงของมีคมใกล้ตัวอย่างกรรไกรและใช้มันเป็นตัวเปรียบเปรยเนื่องจากเวลาเราเด็กๆพ่อแม่ชอบสอนเราว่าอย่าถือกรรไกรวิ่งนะลูก เดี๋ยวจะโดนเสียบเอาแต่เราก็ดื้อไม่ยอมทำตามนั่นเอง โดยในยามนั้นเรามักจะเชื่อมั่นในตัวเองและเชื่อว่าทุกบาดแผลที่เกิดมันคือเรื่องราวที่เราจะเล่าขานต่อไปในภายภาคหน้า ซึ่งเสียงกีตาร์แบบโฟล์คเข้ากันดีกับบทเพลงที่ถ่ายทอดห้วงอารมณ์ของการย้อนระลึกถึงอดีตอันเป็นการจบอัลบั้มได้อย่างงดงาม
อ้างอิง : Genius.com