ตั้งแต่ออกซิงเกิ้ลแรก “Please” เมื่อปี 2015 “อะตอม ชนกันต์ รัตนอุดม (อ่านว่า ชะ-นะ-กัน หาก ชน-กัน อาจต้องเรียกประกันมาครับ ฮาาา)” นักร้อง นักแต่งเพลง ในสไตล์โซล ป็อป ซึ่งในเวลานั้นมีอายุเพียง 23 ปี ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในศิลปินที่น่าจับตามองในวงการเพลงบ้านเรา
จากนั้น อะตอมก็ได้ปล่อยซิงเกิ้ลอื่นๆตามติดมาเป็นระยะไม่ว่าจะเป็น Please , แผลเป็น , ทางของฝุ่น ,อ้าว , ช่วงนี้ (Karma) และอย่าบอก ซึ่งแต่ละซิงเกิ้ลก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และกลายเป็นเพลงฮิตไปในที่สุด
ในทุกวันนี้เป็นเรื่องที่ยากนัก ที่จะได้ออกอัลบั้มสักอัลบั้มหนึ่ง ยิ่งเป็นศิลปินหน้าใหม่ด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วมักจะออกกันเป็น EP มาก่อน แต่สำหรับ “อะตอม” ความสำเร็จในบทเพลงเหล่านั้น ที่เขากลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์ในชีวิต ได้บอกเขาว่ามันเป็นไปได้
“Cyantist” เป็นอัลบั้มเปิดตัวของอะตอม ชื่ออัลบั้มเผยความคมคายในการเล่นคำและมุมมองที่น่าสนใจ อันเป็นเอกลักษณ์ในงานเพลงของอะตอม “Cyan” คือโทนสีฟ้าในระบบ CMYK สีฟ้า สื่อถึง “ความเศร้า” อันเป็นแกนหลังของเนื้อหาและอารมณ์ในบทเพลงทั้ง 9 ในอัลบั้ม นอกจากนี้คำว่า “Cyantist” ยังล้อกับคำว่า “Scientist” ซึ่งแปลว่า นักวิทยาศาสตร์ อันสะท้อนให้เห็นถึงการทดลองทางการเล่าเรื่องและอารมณ์ในบทเพลงของอะตอมอีกด้วย
เพลงของอะตอมเป็นเพลงป็อปที่มีกลิ่นของดนตรีโซลที่เข้มข้น มันชัดเจนและหนักแน่นพอที่จะทำให้เราแยกแยกงานเพลงของอะตอมจากศิลปินคนอื่นได้ ทั้งดนตรีและเสียงร้องบ่งบอกเอกลักษณ์ของความเป็นอะตอมได้เป็นอย่างนี้ นอกจากนี้อีกเสน่ห์ในงานของอะตอมก็คือเนื้อเพลง ที่ถึงแม้จะอยู่ในเรื่องของความรัก ความเศร้า การเลิกลา หากแต่มีการเล่าในมุมมองที่แปลกใหม่ คมคายและน่าสนใจ หลายเพลงมีการจิกกัดที่แสบสันและชวนยิ้มได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เปิดอัลบั้มด้วย “Good Morning Teacher” เป็นการเปิดอัลบั้มที่น่าสนใจมาก นัยหนึ่งเหมือนเป็นการทักทายต่อคนฟัง ส่วนนัยของเนื้อเพลงนั้นพูดถึง การที่ได้เจอคนรักที่เลิกลากันไปแล้วอีกครั้งโดยบังเอิญ ซึ่งเรานับถือเธอนั้นเหมือนเป็นครูที่สอนให้เราได้รู้จักกับความรัก ความเจ็บปวด เพราะฉะนั้นเมื่อได้เจอกันก็ต้องทักทายเสียหน่อย แต่เป็นการทักทายแบบจิกกัดเล็กน้อยพอเลือดซิบๆ โดยเล่นกับคำทักทายเวลาเราเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งประโยคแรกสุดคลาสสิคที่เราจะพูดทักทายคุณครูของเราก็คือ “Good Morning Teacher” ทำให้เพลงนี้มีท่อนคอรัสที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งสำเนียงการร้องของอะตอมบวกกับแนวดนตรีที่มีกลิ่นของดนตรีโซล ทำให้เพลงนี้มีความอินเตอร์ขึ้นมาในทันที
ต่อด้วย “อย่าบอก” ซิงเกิ้ลล่าสุดจากอะตอม มาเพลงนี้สองก็เศร้ากันเลย เหมือนเป็นการอินโทรให้ผู้ฟังรู้ว่า ต่อไปงานเพลงในอัลบั้มนี้จะเป็นเรื่องของความเศร้านะ เราจะมาเสพย์อารมณืแบบนี้ในลีลาต่างๆกัน ประมาณนี้ครับ เพลงนี้พูดถึงคนรักที่กำลังจะหมดใจเลิกราจากเราไป แต่แสร้งทำว่าเสียใจ เราเลยต้องบอกกับเธอว่า อย่าบอกว่าเธอเสียใจเลย คนที่เสียใจควรเป็นฉันมากกว่า อย่าเสียเวลาฟูมฟายแทนกัน ส่วนเอ็มวีนั้นก็น่าสนใจมากครับ ถ่ายทอดเรื่องราวของการส่งผ่านเรื่องราวในโลกโซเชียลที่คงไม่มีใครรู้ความจริงดีกว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นแน่ แต่การพูดปากต่อปากหรือทึกทักเอาเอง อาจทำร้ายใครบางคนได้ ตอนท้ายมีการหักมุมนิดๆครับ ใครยังไม่ได้ชมลองไปชมกันได้ครับ
“Please” เพลงเศร้า อารมณ์ละมุน ซิงเกิ้ลแรกในบทบาทศิลปินของ อะตอม ถ่ายทอดอารมณ์ของคนที่หมดทางสู้ จนถึงขนาดต้องอ้อนวอนขอร้องให้เธอมารัก ด้วยเนื้อหาของเพลงที่โดนใจ ความเรียบง่ายและกลมกล่อมของดนตรี จึงทำให้ใครหลายๆคนตกหลุมรักเพลงนี้ในทันทีที่ได้ฟัง
“แผลเป็น (Scar)” ซิงเกิ้ลที่สองของอัลบั้ม มู้ดของเพลงเริ่มสดชื่นขึ้น บวกขึ้น แต่ก็ยังเป็นเพลงที่มีวัตถุดิบจากความเศร้าอยู่ดี มีจุดสังเกตคือ เพลงนี้อะตอมให้วิธีเล่าเหมือนเล่าเรื่องของคนหนึ่งให้อีกคนหนึ่งฟัง โดยใช้คำว่า “กาลครั้งหนึ่ง…” เปิดเรื่องเหมือนการเล่านิทาน โดยเล่าเรื่องของ “เขา” ให้กับ “เธอ” ฟังว่า เขาคนนั้นที่เธอเคยรัก แต่บัดนี้ได้ห่างจากกันไป เธออาจจะลืมเขาไปแล้ว แต่เขายังคงจดจำเธอได้เป็นอย่างดี เหมือนรอยแผลเป็นที่เมื่อเกิดขึ้นมาอย่างไรก็จะอยู่อย่างนั้นบนร่างกายเราเสมอไป คอยย้ำเตือนให้ได้คิดถึงที่มาของมัน
กลับมาที่อารมณ์เศร้าซึ้ง อีกครั้งกับเพลงนี้ “ทางของฝุ่น (Dust)” ที่เป็นการเปรียบเปรยตัวเราเหมือนดั่งกับฝุ่น ที่อย่างไรก็คงไม่อาจทำให้เธอมีความสุขได้ เธอคงมีทางของเธอที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นในวันนี้อย่าเสียเวลากับฉันเลย จงไปเจอทางที่ดีเถอะ เศร้ามาก แต่ก็หล่อมากด้วยเช่นกัน
“อ้าว” เป็นเพลงที่อารมณ์บวกสุด รื่นเริงสุดของอัลบั้มแล้ว แต่ก็ยังมีที่มาจากความเศร้าอยู่ แต่เป็นช่วงเวลาที่ความเศร้ามันตกตะกอนไปแล้ว ตอนนี้เข้มแข็งพอแล้ว แต่เธอก็กลับมาขอคืนนี้ บอกอยู่กับเขาแล้วมันเศร้าอย่างนั้นอย่างนี้ เราเลยต้องบอกไปว่า “ฮ้าว เฮ้ย!” ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า ตอนจะไปก็มีเหตุผลที่จะไป พอตอนนี้อยากจะกลับมา บอกเลยว่าอย่าเสียเวลากับสิ่งที่เธอไม่มีวันได้คืน เป็นการตอกกลับได้อย่างเจ็บแสบของคนที่เข้มแข็งแล้วและไม่ยอมให้คนรักกลับมาทำร้ายอีก ด้วยเนื้อหาของเพลง และความจิ๊กโก๋หน่อยๆ (บวกด้วยพระเอกเอ็มวี) จึงทำให้เพลงนี้เป็นเพลงฮิตติดลมบนไปแล้ว
“ช่วงนี้” เพลงนี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Karma” หมายถึงกรรมนั่นเอง เพลงนี้อะตอมหยิบเอาความเชื่อแบบคติพุทธที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น” มาใช้กับมุมมองความรัก เป็นการจิกกัดอดีตคนที่เราเคยรักเคยชอบ แต่ได้หักอกเราไป (และคงหักอกใครอีกหลายๆคน) ว่าช่วงนี้ให้ระวังหน่อยเข้าวัด ทำบุญบ่อยๆ ระวังหากบุญที่เธอทำนั้นหมดแล้วกรรม (ชั่ว) ที่เคยทำไว้จะตามมาสนอง ดนตรีเพลงนี้มาแบบโซล ฟังก์จัดจ้าน กรู๊ฟเนียน เครื่องเป่าแน่นเติมแต่งสีสันให้กับบทเพลง ทำให้นึกถึงเพลงของ Groove Riders เลย
เพลงต่อมาคือ “รถคันเก่า” เป็นอีกหนึ่งเพลงเศร้า แต่อารมณ์ไม่เหงาดิ่ง ท่วงทำนองชวนขยับนิดๆ โดยการนำเอารถยนตร์อันเป็นพาหนะสำคัญในชีวิตมาเปรียบเปรยกับความรัก ซึ่งรักของเราคงเป็นเหมือนรถคันเก่าที่อะไรๆก็เริ่มผุพังลงไป ถึงจะพยายามซ่อม พยายามรักษาแค่ไหน ก็คงสู้รถคันใหม่ที่น่าดึงดูดใจของเขาไม่ได้ แต่เธอคงลืมไปแล้วว่ารถเก่าๆคันนี้เอง ที่พาเธอไปพบกับสิ่งใหม่ๆ ทั้งความสุข ความทุกข์ และความทรงจำดีๆที่เคยมีร่วมกัน
ปิดท้ายอัลบั้มด้วย “พอ” เพลงที่มาพร้อมท่วงทำนองแบบนีโอ โซล อันเป็นโซลที่มีความร่วมสมัย ดนตรีดี เมโลดี้สวย พูดถึงช่วงเวลาของการตัดใจจากคนรักที่ตอนนี้ไม่รักเราแล้ว “พอ” แล้ว ไม่ทนอีกต่อไปแล้ว เมื่อฟังเพลงทั้งอัลบั้มนี้แล้ว รู้สึกเหมือนได้ดูหนังที่เล่าเรื่องแบบไม่เรียงตามลำดับเวลา (Non Linear Narrative) ที่ข้ามไปมาระหว่างช่วงเวลาต่างๆของความรัก ทั้งช่วง ก่อนเธอจะทิ้งไป กำลังจะทิ้ง ทิ้งแล้ว จนถึงขอกลับมาคืนดี และ กลับมาปิดที่“พอ” เพลงนี้ที่เล่าในช่วงเวลาสำคัญคือการตัดสนใจยุติความสัมพันธ์ที่เหนี่ยวรั้งหัวใจเอาไว้และพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปนั่นเอง
ด้วยวัยเพียง 25 ปี อะตอม ได้ร่วมงานกับศิลปินดังมากมาย และมีอัลบั้มเดี่ยวเป็นของตนเอง ยังมีเวลาอีกมากนักบนเส้นทางสายนี้ หากได้ผ่านและพานพบประสบการณ์ต่างๆที่หลากหลายบนเส้นทางชีวิตและได้กลั่นกรองถ่ายทอดออกมาอย่างจริงใจ และกลมกล่อมเช่นนี้ คงเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก ว่าต่อไปจากนี้ อะตอม จะเอาเรื่องอะไรมาเล่าให้เราฟังอีก
scoop อัลบั้ม