ในวันที่ 25 ธันวาคมที่จะถึงนี้ พี่ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ที่เรารู้จักกันในนาม ตูน Bodyslam ก็จะวิ่งถึงเส้นชัยสุดท้ายในโครงการ “ก้าวคนละก้าว : เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ซึ่งเป็นการวิ่งระดมทุนเพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยวิ่งจาก เบตง ถึง แม่สายรวมระยะทางทั้งสิ้น 2191 กม. โดยพี่ตูนเริ่มวิ่งจากวันที่ 1 พฤศจิกายน โดยตั้งเป้าไว้ที่ 700 ล้านบาทแต่ยอดนี้ยอดเงินบริจาคทะลุ 900 ล้านไปแล้ว น่าซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ตูน และน้ำใจของคนไทยทั้งประเทศจริงๆ
การทำเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ย่อมต้องใช้พลังใจที่ยิ่งใหญ่ และในวันนี้พี่ตูนไม่ได้เป็นแค่ศิลปินร็อคที่มาร้องเพลง เล่นดนตรีเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้ใช้แรงกายแรงใจสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้แก่สังคมอีกด้วย แต่ในวันที่พี่ตูนรับบทบาทของการเป็นศิลปินนั้น บทเพลงของพี่ตูนและวง Bodyslam ไม่ได้ขับขานออกมาเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่มันยังแฝงไว้ด้วยพลังใจที่สำคัญ หลายบทเพลงทำให้ใครหลายคนมีพลังและลุกขึ้นสู้ต่อ ดังนั้นในวันนี้ผมจึงอยากย้อนกลับไปดู สิ่งที่พี่ตูนได้สื่อสารผ่านงานเพลงของเขาและวง Bodyslam ว่าที่ผ่านมาพี่ตูนได้พูด ได้ถ่ายทอดสิ่งใดออกมาบ้าง อันสะท้อนให้เห็นถึงแง่คิดมุมมอง อันงดงามและเป็นพลังใจสำหรับเราในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
เรามาเริ่มกันที่เพลงแรกอันเป็นชื่อเดียวกับชื่อวงกันเลยดีกว่าครับ
Bodyslam
ก่อนนี้หลายคนคงเคยรู้จักคำว่า “Bodyslam” จากชื่อท่าหนึ่งในกีฬามวยปล้ำ แต่หลังจากที่เพลง “งมงาย” ได้ออกเผยแพร่ทางหน้าปัดวิทยุทั่วประเทศ คำว่า “Bodyslam” ก็มีความหมายมากกว่านั้น ซึ่งพี่ตูนเคยให้สัมภาษณ์ว่า ที่เลือกคำนี้มาใช้ตั้งชื่อวง เพราะชอบในความหมายของมันคำว่า Bodyslam นั้นแปลว่า “ทุ่มสุดตัว” ผมไม่แปลกใจ ว่าทำไมพี่ตูนถึงเลือกคำนี้มาใช้ตั้งชื่อวง เพราะสิ่งที่พี่ตูนทำตลอดมาจนถึงวันนี้นั้นไม่ห่างไกลจากคำว่า “ทุ่มสุดตัว” เลย
ซึ่งเพลง “Bodyslam” นี้เป็นเพลงจากอัลบั้มที่สองของวงชื่อว่า “Drive” โดยออกกับทางค่าย มิวสิค บั๊กส์ ในปี 2546 เพลงนี้มาพร้อมท่วงทำนองเร้าใจ เปี่ยมไปด้วยพลังอันพูดถึงการทุ่มเททำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรารักโดยไม่ย่อท้อ เพราะนี่แหละคือชีวิตที่เราต้องการ
“นี่แหละคือชีวิตที่ต้องการ
แค่ได้ทำสิ่งนั้นที่ใจฝัน
ต่อให้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน
เราจะสร้างความฝันด้วยตัวเราเอง”
หลังฝน
หลายครั้งที่ชีวิตเราต้องเจอกับปัญหา ที่ถาโถมเข้ามาเหมือนฝนฟ้ากระหน่ำ หลายครั้งต่อให้มีพลังแค่ไหนก็รู้สึกท้อใจ
“หลังฝน” บทเพลงที่ทำให้เรามองเห็นแง่งามของชีวิต ว่าหลังจากฝนซา ฟ้าเปลี่ยนสี อะไรที่ดีๆมักบังเกิด มันทำให้เรามีพลังพอที่จะอดทนรอวันนั้น วันที่ฟ้าสดใส
เพลงนี้มาจากอัลบั้ม “Drive” เช่นเดียวกันครับ เนื้อเพลงของเพลงนี้งดงามมาก อีกทั้งท่วงทำนองที่มาพร้อมลีลาร็อคแบบเรียบง่าย งดงามยิ่งทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่อยู่ในใจใครหลายคน
“พายุที่มันพัดผ่าน หอบฝนมา
ฟ้ามืดมนสักเท่าไร
เราอาจจะต้องหนาว ต้องทรมาน
แต่ไม่นานก็คงจางหาย
มันเป็นเหมือนกำลังใจจากฟ้า
ส่งมาให้คนรู้ว่าชีวิตมีค่า แค่อย่าเพิ่งถอดใจ
เริ่มใหม่อีกที ชีวิตไม่มีคำว่าสาย
เมื่อพายุฝนผ่านพ้น ฟ้าจะสดใส และเธอจะได้สุขใจ”
ชีวิตเป็นของเรา
“คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน เวลามีเหลือกันเท่าไหร่
คนเราจะมีลมหายใจอีกกี่ครั้ง ใครจะรู้”
“ชีวิตเป็นของเรา“ ขึ้นต้นบทเพลงมาด้วยถ้อยคำตอกย้ำความจริงของชีวิตว่าไม่มีอะไรแน่นอน เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเวาชีวิตเราเหลืออยู่อีกเท่าไหร่ อยากทำอะไรให้รีบทำ
เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม Believe เป็นอัลบั้มแรกที่ออกกับทาง Genie Records ทางวงปรับเปลี่ยนแนวดนตรีจากป้อปร็อคมาสู่ร้อคที่หนักแน่นขึ้น รวมไปถึงมีการปรับเปลี่ยนสมาชิกวงอีกด้วย ทำให้ทางวงพัฒนาไปสู่อีกทิศทางหนึ่ง
เพลงนี้เป็นเพลงแรกเปิดอัลบั้มนี้เลย เหมือนจะเป็นการบอกว่า การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ของพี่ตูนและ Bodyslam นั้นคือการเลือกทำในสิ่งที่ “เชื่อ” ในสิ่งที่เป็นตัวเรา นั่นเอง
“ชีวิตจะเป็นแบบไหน คงต้องเลือกเอา
ก็ตัวของเราก็ใจของใครของมัน
ชีวิตที่เป็นแบบนี้ คงไม่ว่ากัน
ก็ชีวิตมันเป็นของเรา”
มีเวอร์ชั่นเรียบเรียงใหม่ เพื่อเล่นในคอนเสิร์ต “Bodyslam นั่งเล่น” เพะราไปอีกแบบ ดนตรีออเครสตรามาเสริมทัพ ทำให้รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาเลยจริงๆ ยิ่งใหญ่และงดงามมากครับ
ความเชื่อ
เพลงนี้ได้กลายเป็น signature ของวงไปแล้ว ในตอนนี้คำว่า Bodyslam แทบจะแทนที่ได้ด้วยคำว่า “ความเชื่อ” เลยทีเดียว
เพลงนี้เป็นเพลงจากอัลบั้ม Believe และคำว่า “ความเชื่อ” ก็คือคำแปลภาษาไทยจากคำว่า Believe นั่นเอง เพลงนี้จึงเหมือนกับเป็นเพลงที่สรุปเอาใจความของอัลบั้มนี้ รวมถึงแก่นของสิ่งที่พี่ตูนและ Bodyslam พยายามจะบอกกับเรา นั่นก็คือ พลังนั้นเกิดจากการทำในสิ่งที่เรา“เชื่อ” นั่นเอง
นอกจากนี้ที่พิเศษสุดเลยก็คือ เพลงนี้ได้ น๊าแอ๊ด คาราบาว ซึ่งมีศักดิ์เป็น อาของพี่ตูนมาร่วมร้องฟีเจอริ่งด้วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นฟีเจอริ่งแรกของวงด้วย ก่อนที่จะมีฟีเจอริ่งอื่นๆในอัลบั้มต่อมา
“ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่
มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึง
ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำว่าครั้งนึงเคยก้าวไป
แค่คนที่เชื่อในความฝัน จะเหน็ดจะเหนื่อยก็ยังต้องเดินต่อไป”
คนมีตังค์
เรื่องเงินอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่มันเป็นเรื่องแรกในเกือบทุกๆเรื่องของชีวิต หลายครั้งเราคิดว่าหากมีเงินมากพอแล้วเราคงจะมีความสุข แต่พี่ตูนและ วงBodyslam บอกกับเราว่า จะมี มีตังค์มาก หรือมีตังค์น้อย ก็ไม่เป็นไรความสุขมันอยู่ที่ใจลองค้นลงไปเดี๋ยวก็เจอ
“คนมีตังค์” เป็นเพลงในอัลบั้ม Save My Life ซึ่งเป็นอัลบั้มที่งานเพลงของ Bodyslam มีความสดใหม่ หากลองกลับไปฟังจะพบว่าอัลบั้มนี้มีเสน่ห์มาก ทั้งเนื้อหา เมโลดี้และท่วงทำนองของแต่ละเพลงล้วนกลั่นกรองมาเป็นอย่างดี เป็นความตั้งใจอันเกิดจากการอยากลองทำอะไรใหม่ๆของ Bodyslam ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่ได้ พี่โอม เปล่งขำ มือคีย์บอร์ดของวงซึ่งในตอนนั้นยังอยู่ในฐานะแบ็คอัพของวง มาช่วยเติมสีสันให้กับบทเพลงนั่นเอง
เพลงนี้เป็นเพลงที่มีกลิ่นอายและเนื้อหาแตกต่างจากเพลงอื่นๆของ Bodyslam ไม่ได้มีความหนักแน่น หนักหน่วง แต่เป็นเพลงที่มาพร้อมท่วงทำนองสนุกๆ แต่แฝงไว้ด้วยปรัชญาการดำเนินชีวิตที่คมคาย เป็นการบอกให้เรารู้สึก “พอใจ”ในสิ่งที่เรามี “แต่ฉันไม่เดือดร้อน แม้ไม่มีมากมายอย่างใครสักที แม้มีเท่านี้ แต่หัวใจมันก็ยินดี ทุกวัน”
“ชีวิตนี้บางทีก็น้อย คิดไปทำไม
ชีวิตนี้บางวันก็เยอะ ถือเป็นกำไร
ชีวิตเราก็เท่านี้ ความสุขที่หัวใจต้องการ
สุดท้ายมันอยู่ไม่ไกล
ค้นลงไปข้างในจิตใจ ใครๆก็พบมัน”
เพลงนี้เป็นเพลงที่พอเราฟังแล้วทำให้รู้สึกดีขึ้นมาถึงแม้ว่าจะไม่มีเงินในกระเป๋าเลยก็ตาม เพราะอย่างน้อยเราก็ยังมีชีวิตที่ได้ฟังเพลงดีๆเพลงนี้ เพลงที่มาพร้อมท่วงทำนองสดใสและกำลังใจเปี่ยมล้น
ขอบคุณน้ำตา
“ขอบคุณน้ำตา” เป็นเพลงจากอัลบั้ม Save My Life เช่นกัน เป็นเพลงส่งท้ายอัลบั้ม เหมือนเป็นการสรุปจบเรื่องราวที่ผ่านมาว่า จะสุขบ้าง ทุกข์บ้างก็ไม่เป็นไร มันเป็นธรรมดาของชีวิต จะเสียใจบ้าง ร้องไห้บ้างก็ไม่เป็นไร แทนที่จะจมอยู่กับความเสียใจ เรามาขอบคุณความเสียใจนี้ดีกว่าที่สอนให้เราได้เรียนรู้คุณค่าของชีวิต
อย่ากลัวที่จะเสียใจ เพราะความเสียใจและหยดน้ำตานี่แหละที่เป็นครูคอยสอนให้เราเรียนรู้ความเจ็บปวดของชีวิต เพื่อที่ในวันพรุ่งนี้เราจะเข้มแข็งและมีพลังใจในการต่อสู้กับชีวิตต่อไป
“ต้องขอบคุณน้ำตาที่สอนให้จำในบทเรียน
น้ำตาที่ไหลรินในวันที่หัวใจอ่อนล้า
วันนี้เพิ่งรู้คุณค่าในช่วงเวลาได้เคยเจ็บ
เคยหวังและไม่เป็นดั่งใจ เรียนรู้และก้าวไป”
พี่ตูนเคยบอกไว้ในคอนเสิร์ต live in ครามว่า เพลงนี้คือเพลงโปรดที่สุดของพี่ตูน ผมเองไม่แปลกใจเลย เพราะเพลงนี้ก็เป็นเพลงโปรดที่สุดของผมเช่นกัน และก็เชื่อว่าคงเป็นเพลงโปรด เพลงในดวงใจของใครอีกหลายๆคน
มันงดงามที่สุดแล้วที่วันหนึ่งเราได้เข้าใจว่า หยดน้ำตาจากความเสียใจเหล่านั้นมีค่ากับชีวิตเรามากแค่ไหน
แสงสุดท้าย
เปิดด้วยเสียงกลองอันหนักหน่วง ตามมาด้วยท่วงทำนองอันหนักแน่น “แสงสุดท้าย” เป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่เป็นลายเซ็นของวง ด้วยเนื้อหาที่พูดในสิ่งที่วงพยายามจะพูดมาโดยตลอด นั่นก็คือ การยืนหยัดทำในสิ่งที่เชื่อ ที่รัก ที่ฝัน อดทนสู้ต่อไปจนกระทั่งถึง “แสงสุดท้าย” ที่ใจปรารถนา นั่นเอง
“ในค่ำคืนที่ ฟ้า..นั้นไม่มีดาว
อยู่ตรงนี้ ฉันยังคงก้าวไป
ยังคงมีรักแท้ เป็นแสงนำไป
ในคืนที่หลง..ทาง
กับที่ที่ความฝัน
นั้นพร้อมเป็นเพื่อนตาย เส้นทางนี้
ฉันยังมีจุดหมาย
ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไร
จะไปจนถึงแสงสุดท้าย”
เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม “คราม” อัลบั้มที่สามที่ออกกับทาง Genie Records อัลบั้มนี้ Bodyslam ยังคงพยายามฉีกตัวเองออกไปจากสิ่งเดิมๆที่เคยทำมา อันจะเห็นได้จากการที่ได้เอาเพลงร็อค มาผสมผสานกับหมอลำในเพลง “คิดฮอด” ที่ได้นักร้องลูกทุ่ง หมอลำชื่อดัง ศิริพร อำไพพงษ์ มาฟีเจอริ่งด้วยนั่นเอง
เพลงนี้มีในเวอร์ชั่นของคอนเสิร์ต Bodyslam นั่งเล่นด้วยครับ เวอร์ชั่นนี้มีกลุ่มเครื่องเป่าและเครื่องสายมาช่วยสร้างสีสันให้กับบทเพลง ดูเปล่งปลั่งมีพลังมากเลยครับ
เรือเล็กควรออกจากฝั่ง
ตอนที่เพลงนี้ออกมา เหมือนเป็นเอะไรที่เซอร์ไพรซ์สำหรับแฟนๆ และคุ้มค่ากับการรอคอย ท่อนอินโทรจากคีย์บอร์ดของพี่โอม ที่อัลบั้มนี้ได้เป็นสมาชิกเต็มตัวของวงแล้ว ช่างแปลกใหม่ และเป็นอะไรที่น่าจดจำ ทางวงมาพร้อมลุคแบบดิบๆ พี่ตูนในเพลงนี้ก็เป็นอะไรที่ฉีกไปจากเดิมแบบสุดๆ เหมือนพี่ตูนจะได้เรียนรู้สิ่งที่มีค่าบางอย่างมาจากการอุปสมบทในช่วงรอยต่อหลังจากจบทัวร์อัลบั้มคราม จนถึงช่วงทำอัลบั้มใหม่ ที่ชื่อสื่อถึงธรรมะมากๆว่า dharmajāti (ดัมมะชาติ)
“เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” มาพร้อมลุคแบบดิบๆ ท่วงทำนองและเนื้อหาที่พูดถึงการกล้าที่จะออกจากฝั่ง หรือ เขตปลอดภัยของชีวิตให้เข้าสู่แดนฝนฟ้าพายุ อันเราจะต้องผ่านไปให้ได้ เพื่อไปสู่ฝั่งแห่งฝัน และไว้ว่าเรือเราจะเล็กเพียงใด มีพลังน้อยนิดแค่ไหน เราก็ต้องฟันฝ่าไป
“จะออกไปแตะขอบฟ้า สุดท้ายแม้โชคชะตาไม่เข้าใจ
(ภายในใจยังคงเรียกร้อง)
มองไปไม่มีหนทาง แต่รู้ว่าฉันต้องไปต่อไป
ตรงเส้นขอบฟ้าสีคราม ความหวังยังนำทางฉันใช่หรือไม่
(ให้อุปสรรคเปลี่ยนผันเป็นพลัง)
คำตอบอยู่กลางคลื่นลม ชีวิตแม้ต้องล่มลงตรงไหน
แต่ฉันก็ยังยืนยันที่จะไป”
อัลบั้มใหม่นี้ได้ทีม บริษัท ป่าดงดิบ จำกัด มาทำมิวสิควีดิโอให้ ทำให้งานเอ็มวีของวงมีความแตกต่างจากที่เคยเป็นมา อย่างเพลงนี้ก็เป็นเรื่องราวของเด็กนักมวยที่เป็น loser มาโดยตลอดแต่ก็ไม่ย่อท้อ พร้อมที่ยืนหยัดและสู้ต่อไป ตัวเอ็มวีดูเรียลดูจริงมาก เสริมส่งเพลงสุดๆ
หลายคนที่ได้ฟังเพลงนี้ในช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิต จุดที่เรากล้าที่จะก้าวไปทำสิ่งใหม่ๆ ที่เราเองอาจยังไม่แน่ใจว่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่งรึเปล่า แต่เราก็เลือกที่จะเสี่ยงและทำมันอย่างตั้งใจ ทุกครั้งที่เสียงอินโทรเพลงนี้ดังขึ้นมา เหมือนบรรยากาศของช่วงเวลานั้นมันจะย้อนกลับมาหาเราทันทีเลย
ชีวิตยังคงสวยงาม
ปิดท้ายกันด้วยเพลงนี้ อีกหนึ่งงานเพลงจากอัลบั้มล่าสุด dharmajāti (ดัมมะชาติ) ที่เหมือนเป็นบทสรุปของเรื่องราวการสู้ชีวิตตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มันเป็นถ้อยคำของคนที่ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านสุข ผ่านทุกข์ และพยายามทำความเข้าใจในชีวิต ว่าแท้จริงแล้วชีวิตนี้คืออะไร จนตกตะกอนในความรู้สึก และสามารถอยู่กับชีวิตนี้ได้อย่างมีพลัง ด้วยเหตุที่ได้มองเห็นแล้วว่า ชีวิตนั้นไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ดี ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายหรือดี ชีวิตนี้ก็ยังคงสวยงามอยู่เสมอ
“จะยิ้มรับมันวันที่ใจอ่อนแอ แม้ทุกเรื่องราวมันยังคงโหดร้าย
สุขทุกข์ที่เราพบพาน มันคือชีวิตของเรา
แม้ทั้งหัวใจมันยังคงทรมานแม้ว่าน้ำตายังไม่แห้งเหือดไป
กอดไว้ทุกความหมองหม่น ไม่ว่าจะร้ายดี ชีวิตยังคงสวยงาม”
มาร่วมเป็นกำลังใจให้กับพี่ตูนและร่วมบริจาคให้กับโครงการ “ก้าวคนละก้าว : เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ได้ตามช่องทางนี้เลยครับ
https://www.kaokonlakao.com/howto